Feeds:
เรื่อง
ความเห็น

Archive for ธันวาคม 3rd, 2010


ซูเปอร์ จูเนียร์ (Super Junior) หรือที่เรียกสั้นๆว่า “เอสเจ(SJ)” หรือ “ซูจู(SuJu)” เป็นกลุ่มวงดนตรีบอยแบนด์จากประเทศเกาหลีใต้ ในสังกัดของ เอสเอ็ม เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ได้เปิดตัวครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายนพ.ศ. 2548 เดิมประกอบด้วยสมาชิกทั้งหมด 12 คน (ชาวเกาหลี 11 คน และชาวจีน 1 คน) จนกระทั่งเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 ได้ประกาศเพิ่มสมาชิกเพิ่มขึ้นอีก 1 คน ทำให้ซูเปอร์จูเนียร์มีสมาชิกรวมแล้ว 13 คน ถือได้ว่าเป็นวงบอยแบนด์ที่มีสมาชิกมากที่สุดอีกวงหนึ่ง โดยสมาชิกทั้งหมดของวงล้วนแล้วแต่ผ่านการคัดเลือกจากเวทีต่างๆเข้ามา และทั้งหมดก็ล้วนแต่มีความสามารถที่มีลักษณะเฉพาะตัว โดยล้วนแล้วแต่ผ่านการทำงานในสายบันเทิงมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นงานด้านการแสดง พิธีกร หรือนายแบบ


ปัจจุบันสมาชิกของวงซูเปอร์จูเนียร์มีจำนวนทั้งสิ้น 13 คนประกอบไปด้วย
>>..อีทึก(ปักจองซู)(หัวหน้าวง)..<<

>>..คิมฮีชอล..<<

>>..ฮันคยอง (หานเกิง)..<<

>>..เยซอง (คิมชงอุน)..<<

>>..คังอิน(คิมยองอุน)..<<

>>..ชินดง (ชินดงฮี)..<<

>>..อีซองมิน..<<

>>..อึนฮยอก (อีฮยอกแจ)..<<

>>..อีทงแฮ..<<

>>..ชเวชีวอน..<<

>>..คิมรยออุค..<<

>>..คิมคิบอม..<<

>>..โชคยูฮยอน..<<

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สีประจำวง : สีน้ำเงินมุก หรือ สีน้ำเงินมรกต (Sapphire Blue)

ชื่อเรียกแฟนคลับ : Ever Lasting Friend หรือ E.L.F (อ่านว่า เอลฟ์)

——————————————————————————
• Super Junior K.R.Y. •

ซูเปอร์จูเนียร์ เค.อาร์.วาย. (Super Junior K.R.Y.) ก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2549 ประกอบไปด้วยสมาชิกสามคนจากซูเปอร์จูเนียร์ได้แก่ คยูฮยอน, รยออุค และเยซอง
ซึ่งชื่อของกลุ่ม เค.อาร์.วาย. (K.R.Y.) ก็มาจากชื่อของพวกเขาทั้งสามนั่นเอง

• Super Junior-T •

ซูเปอร์จูเนียร์ ที (Super Junior-T) หรือ ซูเปอร์จูเนียร์ ทรอท (Super Junior-Trot) เป็นกลุ่มย่อยอย่างเป็นทางการลำดับที่ 2 ของซูเปอร์จูเนียร์ ก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 ประกอบไปด้วยสมาชิกจำนวนจำนวน 6 คนจากซูเปอร์จูเนียร์ ได้แก่ อีทึก(หัวหน้าวง), ฮีชอล, คังอิน, ชินดง, ซองมิน และอึนฮยอก

• Super Junior-M •

ซูเปอร์จูเนียร์ เอ็ม (Super Junior-M) เป็นกลุ่มย่อยลำดับที่ 3 ของซูเปอร์จูเนียร์ และนับเป็นกลุ่มดนตรีนานาชาติกลุ่มแรกในอุตสาหกรรมดนตรีของประเทศจีน ที่มีสมาชิกจากทั้งจีนและเกาหลีใต้ ประกอบไปด้วยสมาชิกจากซูเปอร์จูเนียร์จำนวน 5 คนคือ ฮันคยอง(หัวหน้ากลุ่ม), ทงแฮ, ชีวอน, รยออุค และ คยูฮยอน และสมาชิกนอกวงอีก 2 คน คือ เฮนรี่ และ โจวมี่

• Super Junior-Happy •

ซูเปอร์จูเนียร์ แฮปปี้ ( Super Junior-Happy ) หรือ ซูเปอร์จูเนียร์ เอช ( Super Junior-H ) เป็นกลุ่มย่อยลำดับที่ 4 ของซูเปอร์จูเนียร์ ก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2551 ประกอบไปด้วยสมาชิกจากซูเปอร์จูเนียร์จำนวน 6 คนคือ อีทึก(หัวหน้ากลุ่ม), เยซอง, คังอิน, ชินดง, ซองมิน และ อึนฮยอก
——————————————————————-

ชื่อจริง : Park Jung Su (ปาร์ค จอง ซู)
ชื่อในวงการ : Lee Teuk (ลี ทึก)
วันเกิด : 1 ก.ค. 1983
ส่วนสูง : 178 ซ.ม.
น้ำหนัก : 59 ก.ก.
งานอดิเรก : เล่นเปียโน, ฟังเพลง, ร้องเพลง
ความสามารถพิเศษ : แต่งเพลง
เริ่มเข้าสู่วงการบันเทิง : ปี 2000 โดย Starlight Casting System
ผลงานละคร : MBC ‘Everything of EVE’ ปี 2000
ผลงานโฆษณา :Pepsiพิธีกรในงาน showcaseของดงบัง ชินกิ
Artist:Super Junior05พิธีกรรายการ M.net KMTV M!Countdown
Album : Super Junior05 KBS ‘1829’ as young Bok Man in Mar 2005

จองซูมีความประทับใจแรกในวงการเพลง เมื่อได้เห็นวง ซอเดจีวาไอดอลในทีวี ซึ่งมันทำให้เขาถึงกับตะลึงในความแปลกใหม่ และนับจากนั้น เขาก็เริ่มหัดร้องเพลงเรื่อยมา แต่ในช่วงแรก มันเป็นเพียงแค่การร้องเพลงที่เป็นเพียงความชอบ แม้ว่าจะถูกข้างบ้านตะโกนด่ามาบ่อยๆ เขาก็ยังคงดื้อดึงที่จะร้องมันเรื่อยมา

จนกระทั่งวันหนึ่ง แม่ของเขาพูดกึ่งแซว ว่า “ถ้าชอบขนาดนี้ ทำไมไม่จัดห้องโชว์ไปเลยล่ะ” เนื่องจากเงินเก็บของจองซู มักจะละลายหายไปกับการซื้ออัลบัมเพลงเสียส่วนใหญ่ … และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาอยากเป็นนักร้อง

จองซูยังคงใช้ชีวิตแบบเด็กมัธยมธรรมดา เขารักการร้องเพลง แต่ก็ยังไม่คิดจะเดินทางเพื่อตามหาฝันของตัวเอง จนกระทั่งวันหนึ่ง เพื่อนที่ร่วมร้อง ร่วมเต้นมาด้วยกันกำลังจะได้เดบิวต์ มันทำให้เกิดแรงกระตุ้นขึ้นมา แต่นั่นมันก็ยังไม่มากพอที่จะทำให้เขามุ่งไปในจุดหมายนั้น และในวันหนึ่ง ซึ่งเป็นวันเกิดของ มินวู (วงชินฮวา) เพื่อนของเขาได้มาชวนไปร่วมงาน ซึ่งจัดขึ้นบริเวณ อับกูจอง แม้ว่าจองซูจะไม่เคยไปสถานที่นั้น แต่เขาก็ยังไปร่วมงานจนได้ และในงานนั้นเองก็มีแมวมองของ SM Entertainment เดินเข้ามาทักเขา และทิ้งนามบัตรให้ไว้ โดยบอกให้ไปลองออดิชั่นกับทางบริษัทดู

บนนามบัตรนั้นเขียนไว้ว่า “SM Entertainment” มันเป็นแรงจูงใจอย่างมากที่ทำให้จองซูเริ่มฝึกฝนตัวเองเป็นอย่างหนัก เขาจึงเข้าประกวด Starlight Casting System ในปี 2000 และได้เป็นศิลปินฝึกหัดของบริษัท แต่เนื่องจากที่บ้านไม่สนับสนุน แต่ด้วยความต้องการที่จะมากฝึกฝนกับทางบริษัท ก็ถึงขั้นยอมโกหกที่บ้านว่าไปเรียนกวดวิชา เพื่อนำค่าเล่าเรียนนั้นไปเป็นค่ารถเพื่อไปฝึกกับทางบริษัท และช่วงเวลาที่อ้างว่าไปเรียนพิเศษ ก็คือช่วงที่เขาไปฝึกซ้อม แต่เมื่อที่บ้านรู้เข้าก็เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต เหตุการณ์นี้เอง ทำให้จองซูยอมคุกเข่าเพื่อขอโทษคุณพ่อ ที่เขาโกหก และในวันนั้นเอง จองซูได้ขอร้องพ่อเพื่อให้เขาได้ลองทำตามความต้องการสักครั้ง แต่ไร้คำพูดใดๆจากปากของพ่อ

หลังจากนั้น จองซูก็พยายามฝึกฝนตัวเองเป็นอย่างหนัก เนื่องจากเขาต้องการที่จะทำให้พ่อได้เห็นว่า “เขาทำได้” ไม่ว่าจะฝนตก หิมะกระหน่ำ หรือจะมีอะไรร้ายแรง อิทึกก็จะยังดั้นด้นไปฝึกซ้อมที่บริษัทโดยไม่มีการขาด แต่ความพยายามนั้นก็ยังไม่เห็นผลสักที เด็กฝึกหัดคนใหม่ๆที่เข้ามาหลังเขาต่างก็ได้เดบิวต์ไปก่อน สร้างความเจ็บปวดให้กับเขาค่อนข้างมาก มันทำให้เขาคิดมองย้อนดูตัวเองอยู่เสมอๆ ว่าเพราะเหตุใด ความสามารถของเขายังมีไม่มากพอหรืออย่างไร คำพูดของญาติหลายคนที่ต่างตัดทอนกำลังใจ เพราะล้วนแต่อยากให้เขาหันไปตั้งใจเรียน แทนที่จะมาจมปลักอยู่กับการเป็นศิลปินฝึกหัด มันทำให้เขาร้องไห้หลายต่อหลายครั้ง แต่จองซูก็ยังคงมุ่งมั่น และตั้งใจจะเป็นนักร้องที่ดีของเกาหลีให้ได้

และในช่วงเวลาของการเป็นศิลปินฝึกหัด จองซูนั้นถือเป็นพี่ชายที่แสนดีของน้องๆ เขาค่อนข้างจะสนิทกับฮยอกแจและจุนซู ขนาดที่เคยไปค้างที่บ้านจุนซูบ่อยๆ และด้วยความที่เป็นรุ่นพี่นี่เอง ที่เขามักจะต้องออกเงินเลี้ยงน้องทั้งสองอยู่เป็นประจำ แม้ว่าในหลายๆจะ น้องชายตัวแสบทั้งสองจะแกล้งเขาเอาไว้มาก ทั้งเรื่องที่เขามีเงินจ่ายค่าขนมปังเพียงแค่สองชิ้น เพื่อสำหรับสามคน แต่ก็กลับโดนน้องชายทั้งสองเอาไปจนหมด แล้วทิ้งเขาให้มองตามหลังอยู่ที่สถานีรถไฟ และอีกหลายต่อหลายเรื่อง แต่เขาก็ไม่เคยโกรธสักครั้ง จึงไม่แปลก ที่นอกเหนือจากฮยอกแจแล้ว คนที่จุนซูโทรศัพท์มาแสดงความยินดีด้วยเป็นรายที่สองนั้นจะเป็นจองซู

และในทุกๆวัน ก่อนที่เขาจะกลับ จองซูก็มักจะเดินไปส่งน้องๆศิลปินฝึกหัดที่เป็นผู้หญิงหลายๆคน เพราะมันเป็นเวลาที่ค่อนข้างดึก เขาจึงเป็นห่วงความปลอดภัยของน้องๆซึ่งเป็นผู้หญิง ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ศิลปินหญิงในค่ายหลายๆคนนั้นค่อนข้างจะดูสนิทสนมกับเขามาก

ในการเป็นศิลปินฝึกหัด ใช่ว่าจะมีแค่การเรียนไปวันๆ เพราะเมื่อถึงกำหนดการทดสอบ ช่วงเวลาแห่งความเครียดก็จะมาถึง หลายต่อหลายครั้งที่มันทำให้เขาผิดหวัง แต่ความตั้งใจที่มีมาก็ยังไม่เลือนหายไปเสียทีเดียว

“นายทำได้แค่นี้เองเหรอ ..คิดจะฝึกหัดไปทั้งชีวิตหรือไง ไม่ดูเด็กใหม่ๆบ้างล่ะ” คำพูดที่ทำร้ายจิตใจ ซึ่งเขายังคงจำมันจนถึงวันนี้ เพราะบรรดารุ่นน้องที่เป็นศิลปินฝึกหักหลายต่อหลายคนที่เดบิวต์ไปแล้ว แต่ก็ยังคงเหลือเขา ที่ฝึกมาหลายต่อหลายปี ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะได้เดบิวต์

ในวันที่เพลง Hug ของ ดงบังชินกิขึ้นชาร์ตอันดับหนึ่ง ในความยินดีกับเพื่อน มันก็แฝงไปด้วยความทุกข์อย่างแสนสาหัส เพื่อน และรุ่นน้องที่ฝึกหัดด้วยกันมาได้เดบิวต์อย่างสวยงาม .. แล้วเขาล่ะ?

แต่โชคชะตาก็ไม่เลวร้ายเสียทีเดียว เพราะหลักจากนั้นไม่นาน ก็มีโปรเจคการฟอร์มวง Super Junior ขึ้น และด้วยความที่จองซูมีความเป็นผู้ใหญ่มากที่สุด เขาจึงได้รับมอบหมายให้ดูแลสมาชิกคนอื่นๆ ในวงในฐานะ พี่ใหญ่ ซึ่งอันที่จริง จองซูไม่ได้ยินดีกับตำแหน่ง ลีดเดอร์ เท่าใดนัก เพราะว่ามันเป็นตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่ และเขาก็คิดว่าตัวเองทำมันได้ไม่ดีพอ หลายต่อหลายครั้งที่เขาเผลอแสดงนิสัยไม่ดีออกไป แต่เมื่อเวลาผ่านไป ภาระนี้ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขา ที่จะต้องสละเวลาส่วนตัวเพื่อดูแลสมาชิกในวงอย่างทั่วถึง

จองซู ได้เปลี่ยนชื่อจาก จองซู ซึ่งคือชื่อจริง มาเป็น อิทึก เพื่อใช้เป็นชื่อในวงการ เพราะเขาอยากจะเป็น สิ่งพิเศษ นั่นเอง

ในวันที่ซุปเปอร์จูเนียร์เดบิวต์ ที่หลังเวที ทุกคนต่างกอดคอกันร้องไห้ … พวกเขาเดินทางมาถึงจุดเริ่มต้นจุดใหม่แล้ว อนาคตอีกมากมายกำลังรออยู่ข้างหน้า แต่ในความดีใจนั้น จองซูได้รับรู้ดีว่า ภาระอันหนักอึ้งกำลังรอเขาอยู่ตรงหน้า และเขาก็ต้องฝ่าฟันไปให้ได้ เพื่อที่จะเป็นผู้เดินนำให้สมาชิกในวงไปถึงจุดหมายพร้อมกัน


จองซูยังคงทำหน้าที่ลีดเดอร์ที่ดีเรื่อยมา แม้ว่านิสัยส่วนตัวของเขาจะขี้เล่น และค่อนข้างจะบ้าบอ จนอาจจะดูไร้สาระ แต่ถ้าเมื่อใดที่ถึงเวลางาน เขาจะหยุดทุกอย่างเพื่อทำหน้าที่ให้ดีที่สุด โดยมีคังอินคอยเป็นผู้ช่วย และแม้ว่างานในแต่ละวันจะมากมายสักเพียงใด แต่ถ้าหากสมาชิกคนใดมีปัญหาเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นช่วงกลางดึกที่เขาเพิ่งนอนได้ไม่ถึงชั่วโมงก็ตาม จองซูจะรีบออกไปหาสมาชิกคนนั้นโดยทันที เพราะเขาคิดอยู่เสมอ ว่ามันคือหน้าที่ที่เขาต้องดูแลน้องๆให้เหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน

ด้วยความขี้เล่นของอิทึก ที่ชอบพูดเล่นไปเรื่อยเปื่อย และไม่ได้คิดอะไรมากมาย ทำให้เขาเกิดปัญหาอยู่หลายต่อหลายครั้ง ทั้งเรื่องจางนาราที่เคยพูดจาล้อเล่น จนทำให้ฝ่ายหญิงไม่พอใจถึงขั้นโทรศัพท์มาต่อว่า หรือเรื่องราวใหญ่โตที่จองซูแค่หลุดปากพูดเล่นว่า “ยอนอา นักสเก็ตสาว ไม่ยอมรับเขาเป็นเพื่อนในไซเวิลด์” ทำให้แฟนคลับจำนวนมากไปโพสข้อความในไซเวิลด์ของยุนอาถล่มทลาย จนกลายเป็นเรื่องราวโด่งดัง เหตุการณ์เหล่านี้ ได้สอนให้เขาพยายามยับยั้งความคิดและคำพูดให้มากขึ้น

จองซูคิดอยู่เสมอ ว่าปัญหาของเพื่อนในวง ก็คือปัญหาของเขาที่ต้องร่วมรับผิดชอบด้วย … ทุกวันนี้ เขาจึงยังเป็นพี่ที่ดีของน้องๆ และคอยเป็นด่านหน้าของซุปเปอร์จูเนียร์ที่จะแบกรับปัญหาจากทุกสารทิศที่เข้ามาด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าด้านในนั้นจะมีน้ำตา เขาก็ยังคงสู้ไม่ถอย

แต่อย่างน้อย ข้างกายของเขาก็ยังมียองอุน (คังอิน) รุ่นน้องคนสนิทที่พร้อมที่จะพยุงเขาไว้ทุกเมื่อหากเขาอ่อนล้า หรือหมดแรงลง เพราะคังอินนั้นรู้ดี ว่าหน้าที่ที่จองซูต้องรับผิดชอบนั้นมันหนักหนาและใหญ่หลวงสักเพียงใด อะไรที่เขาพอที่จะช่วยจองซูได้ เขาก็พร้อมที่จะช่วยทุกเมื่อ เพราะถ้าหากในวงขาดจองซูไปสักคน ก็คงจะวุ่นวายไม่น้อยเลยทีเดียว

เขาพูดอยู่เสมอๆ ว่าเขาคือ นางฟ้าที่ไร้ปีก …แต่ ณ วันนี้ ด้วยความรักจากเอลฟ์ ปีกสีขาวของนางฟ้า กำลังก่อตัวขึ้นที่ด้านหลังของเขา ปีกที่หายไปกำลังจะปรากฎขึ้นอีกครั้งแล้ว

*****************************************************


ชื่อจริง : Kim Hee Chel (คิม ฮี เชล)
ชื่อในวงการ : Hee Chul (ฮี ชอล)
วันเกิด : 10 ก.ค. 1983
ส่วนสูง : 179 ซ.ม. น้ำหนัก : 60 ก.ก.
งานอดิเรก : เล่นเกมคอมพิวเตอร์, เขียนกลอน, เขียนนิทานให้เด็ก
เริ่มเข้าสู่วงการบันเทิง : ปี 2002 โดย Starlight Casting System
ผลงานละคร :
– KBS ‘Sharp2’ (ก.พ. 2005)
– MBC ‘Rainbow Romance’ (ต.ค. 2005)
ผลงานโฆษณา :
– ‘PePeRo'(ก.ย. 2005)
– Oddugi ‘Ramen Bokki’ (ต.ค. 2005)
ผลงานด้านอื่นๆ : ดีเจ FM 107.7 ของ SBS และ KMTV

ถ้าหากเอ่ยว่า “สุดสวยแห่งเอสเจ” ทุกคนก็คงนึกออกว่าคือใคร เพราะก็คงหนีไม่พ้นหนุ่มหน้าสวยที่ชื่อ คิมฮีชอล อย่างแน่นอน

ฮีชอลเติบโตมาแบบเด็กที่ค่อนข้างมั่นใจในตัวเองและหัวรั้นพอสมควร ใจช่วงเด็ก เขาไม่ใช่เด็กที่ดื้อซะทีเดียว แต่ออกแนวจะทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำเสียมากกว่า อาจจะเพราะอยู่กับพี่สาวและแม่มากเกินไป นิสัยของเขาจึงติดไปทางผู้หญิงอยู่บ้าง ทั้งๆที่จริงแล้ว เขาก็แสนจะแมน

ฮีชอลเข้าวงการมาแบบไม่ยากเย็นนัก หากได้ดูคลิปที่มีการออดิชั่นแล้วล่ะก็ คงจะรู้ดีกว่า นอกจากหน้าตา ความมั่นใจ และการแสดงแล้ว นอกนั้นมันช่างขัดกับหน้าตาจริงๆ … ฮีชอลเต้นไม่เก่งมาตั้งแต่ไหนแต่ไร และหนำซ้ำก็ยังเกลียดการเต้นอีกด้วย แต่ในเมื่อจับพลัดจับผลูเข้ามาอยู่ในวงบอยแบนด์แล้ว แน่นอนว่ามันคงจะเลี่ยงการเต้นไม่ได้อย่างแน่นอน

อีกชื่อหนึ่งของเขา ที่ต่างรู้กันดี ก็คือ Cinderella หรือที่น้องๆในวงเรียกกันว่า พี่เรลล่า … ที่มาของมัน ไม่ได้มาจากใบหน้าที่แสนสวยราวกับเจ้าหญิงของเขาแต่อย่างใด แต่มันมาจากชื่อของเขาที่มักจะชอบใช้ในเกมส์ออนไลน์ต่างหาก

ในช่วงการเป็นศิลปินฝึกหัด ฮีชอลพักอยู่กับทงแฮ และยุนโฮ โดยเช่าบ้านอยู่ด้วยกัน เพราะบ้านของเขานั้นไม่ได้อยู่ที่โซล จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมพวกเขาสามคนจึงได้สนิทสนม และมีภาพถ่ายร่วมกันในสมัยก่อนออกมาให้เห็นมากมาย และการอยู่ร่วมกันนี้เอง ที่ทำให้การแต่งตัวที่เคยปกติของฮีชอลนั้นเปลี่ยนไป เนื่องจากพฤติกรรมที่ชอบหยิบเสื้อผ้าของเพื่อนไปใส่โดยไม่ได้ขออนุญาติของยุนโฮ ทำให้ฮีชอลนึกรำคาญ จนเปลี่ยนมาแก้เผ็ดด้วยการซื้อเสื้อผ้าสีแหวว ออกแนวมั่นใจเกินร้อยมาใส่ เพราะตัวเขาเองกล้าใส่ และมั่นใจว่าคนอย่างยุนโฮคงไม่ยอมแตะ …และก็ได้ผลดังคาด

ฮีชอลเคยถูกวางตัวร่วมกับ ยองอุน(คังอิน) ยุนโฮ และแจจุง เพื่อเป็นโปรเจ็ควงบอยแบนด์แนว R&B โดยใช้ชื่อว่า Four Season แต่สุดท้ายมันก็กลายเป็นเพียงแค่อดีต เมื่อมีโปรเจ็ควง TVXQ ออกมา และสมาชิกของ Four Season สองคน อย่างยุนโฮและแจจุง ถูกคัดเลือกเข้าเป็นสมาชิกของโปรเจ็คอันยิ่งใหญ่นั้น

ฮีชอลจึงถูกลอยแพคู่กับคังอิน แน่นอนว่าเขาดีใจกับเพื่อนสนิทสองคน แต่ก็ยังคงมึนๆอยู่เล็กน้อย ที่เพื่อนร่วมทีมถูกฉกออกไปต่อหน้าต่อตา หลังจากนั้น ฮีชอลก็ได้เดบิวต์ในฐานะนักแสดง และในเรื่องนี้เอง เขาได้ร่วมงานกับสมาชิกในวงอีกคนอย่าง คิบอม แม้ว่าในตอนแรกทั้งคู่จะยังไม่ค่อยสนิทกันสักเท่าใดนัก แต่หลังจากที่ย้ายมาพักอยู่ที่หอพักเดียวกัน ก็ทำให้ต่างคนต่างเรียนรู้ซึ่งกันและกันไป และในที่สุด ฮีชอลก็รักและเอ็นดูคิบอมประหนึ่งว่าเป็นลูกชายคนโปรด

นิสัยของฮีชอล ค่อนข้างเป็นคนที่รำคาญง่าย เขาไม่สามารถทนอยู่ในสถานการณ์ที่อึดอัดได้นานนัก เพราะไม่เช่นนั้น ก็คงจะเป็นเขาที่ระเบิดออกมาก่อนใครเพื่อน จึงมีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถร่วมห้องนอนกับเขาได้โดยไร้ปัญหา ซึ่งก็คือ ฮันคยอง คิบอม เจย์ ยุนโฮ และดงแฮ .. เพราะทั้งหมดที่เอ่ยถึงนึ้น ค่อนข้างที่จะเป็นคนที่ทำอะไรอย่างเงียบเชียบ นั่นเอง และนอกจากนิสัยขี้รำคาญ ฮีชอลก็ยังไม่ยอมคนและยังพร้อมจะอาละวาดทุกครั้งที่มีใีครมาสร้างความเดือดร้อนให้กับคนรอบข้าง

ฮีชอลจะไม่ยอมทน หากมีคนมาทำให้คนที่เขารักต้องเจ็บปวด หรือมาสร้างความยุ่งยาก ลำบากใจให้กับคนใกล้ตัวของเขา … เพราะเขาจะออกโรงปกป้องในทันที โดยที่ไม่คิด ว่านั่นมันอาจจะสร้างความเดือดร้อนให้เขาแทน เพราะเขารู้ตัวดี ว่าถ้าหากเรื่องร้ายๆนั้นเกิดขึ้้นกับตัวเขาเอง เขาก็ไม่เคยที่จะกลัวมัน และพร้อมจะสู้ไม่ถอยจนกว่าจะรู้ผลแพ้ชนะไปข้างหนึ่ง

ในตอนแรกๆ ที่เดบิวต์ มีคนมากมายที่ไม่ชอบเขา ด้วยบุคลิกที่แปลกๆ ไม่เหมือนใคร ดูมั่นใจในตัวเองเกินพิกัด อีกทั้งยังชอบทำอะไรตามใจตัวเอง ไม่สนใจว่าใครจะว่าอย่างโดยไม่สนคนรอบข้างนี้เอง ที่ทำให้มีคนจำนวนมากรู้สึกไม่ดีกับฮีชอล เพราะแม้แต่แม่ของเขาเอง ก็ยังชอบซีวอนมากกว่าเขา (ซะงั้น)

แม้ว่าเขาจะทำเหมือนว่า เขาไม่ได้สนใจกับคำพูดเหล่านั้นมากนัก และพูดถึงมันแบบติดตลก แต่ในความเป็นจริง เขากลับรู้สึกเครียดกับมันค่อนข้างมาก ฮีชอลกลับทบทวนหลายครั้ง ว่าเพราะอะไร ทำไมคนถึงได้ไม่ชอบเขา และทำอย่างไร ผู้คนถึงจะยอมรับเขาในฐานะนักแสดงคนหนึ่ง และได้รับความรักเหมือนกับศิลปินคนอื่นๆ

และหลังจากนั้น ฮีชอลก็เริ่มที่จะปรับปรุงบุคลิกของตัวเองเสียใหม่ จากที่เคยทำท่าไม่สนใจโลก ก็เริ่มที่จะเป็นฝ่ายเข้าหาคนอื่นก่อนบ้าง และเมื่อเวลาผ่านไป สิ่งที่เขาแสดงออกมา มันกลับทำให้แฟนๆต่างรักและนับถือ รวมทั้งประทับใจในคำพูดตลกๆของฮีชอลเป็นอย่างมาก

… และทำให้เขามีแฟนคลับมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลไปยังการมีจำนวนคนเข้าไซเวิลด์มากเป็นอันดับหนึ่ง!!!

แม้ปากคอของฮีชอลจะเราะร้าย ด่าเจ็บแสบราวกับมีดบาด แถมยังราดด้วยแอลกอฮอล์ แต่เขาก็มีน้ำใจให้กับเพื่อนๆอยู่เสมอ เพราะกับคนใกล้ตัวแล้ว ฮีชอลจะให้ความรัก ให้ความใส่ใจ รวมทั้งดูแลเป็นอย่างมาก … เขาเป็นคนรักใครรักจริง แต่อย่าให้ได้เกลียด เพราะนั่นหมายความว่า เขาจะไม่เอาคุณไว้เช่นกัน

เมื่อได้มาพักร่วมอพาร์ตเม้นท์เดียวกับกันฮันคยอง และคิบอม (รวมถึงเจย์) ความใกล้ชิด สนิทสนม มันทำให้พวกเขานั้นรักและผูกพันกันมากขึ้น (อันเป็นที่มาของชื่อ ฮันเจฮีบอม) เนื่องจากที่ฮันคยองนั้นเป็นชาวจีน และไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับเกาหลีมากนัก อีกทั้งคิบอมก็ไปอยู่อเมริกาตั้งแต่ยังเด็ก ส่วนเจย์นั้นก็แทบจะไม่ได้ต่างจากสองคนนั้น ภาระทั้งหมดจึงอยู่ที่ฮีชอล ที่ต้องคอยดูแลและอธิบายในหลายๆเรื่องให้ทั้งสามฟัง แต่ที่ต้องดูแลมากที่สุดก็ดูเหมือนจะเป็นฮันคยอง ที่เป็นชาวต่างชาติ ดังนั้น ฮีชอลจึงมักจะสอนภาษาเกาหลีให้เขาในทุกๆวัน ทำให้พัฒนาการด้านภาษาของฮันคยองค่อยๆก้าวหน้าขึ้น และทำให้ฮันคยองนั้นรู้จักใช้คำในภาษาเกาหลีในหลายๆระดับ (แต่ส่วนมากดันเป็นคำด่า และคำหยาบๆ ที่ติดมาจากฮีชอล) หลายครั้งที่ฮีชอลต้องตกใจ เมื่อได้ยินคำหยาบหลุดออกมาจากปากของเพื่อนสนิท และเมื่อเขาถามถึงที่มา ก็ต้องหน้าหงาย เมื่อได้คำตอบว่า “มันมีแต่นายนั่นแหละที่สอนเรื่องพวกนี้ให้ชั้นทั้งหมด”

ฮีชอลค่อนข้างจะให้ความสำคัญกับคิบอม ซีวอน ฮันคยอง ยุนโฮ (TVXQ) และเจ (Trax) มากเป็นพิเศษ เนื่องจากพวกเขาใช้เวลาอยู่ด้วยกันค่อนข้างมาก และได้มีโอกาสศึกษานิสัยของกันและกันมาเป็นเวลานาน ทุกครั้งที่ TVXQ และซูเปอร์จูเนียร์มีคิวขึ้นโชว์ในเวทีเดียวกัน หรือออกรายการเดียวกัน ช่วงที่ยังอยู่หลังเวทีนั้น ฮีชอลก็มักจะไปอยู่ที่ห้องพักของ TVXQ กับยุนโฮมากกว่าที่จะอยู่กับเพื่อนๆในวง

และอาจเพราะว่าเขารักและจริงใจกับเืพื่อนๆมาก ดังนั้น เมื่อใดที่คนอื่นๆพูดถึงเพื่อนๆ คนอื่นมากกว่าที่จะพูดถึงเขา มันจะทำให้ฮีชอลออกอาการน้อยใจหรืองอนในทันที (ซึ่งนิสัยข้อนี้เหมือนกับซีวอนมาก) เพราะถ้าหากซีวอน ฮันคยอง หรือคิบอม พูดถึงคนอื่นๆ โดยลืมพูดถึงเขา แน่นอนว่าจะเกิดสงครามประสาทย่อยๆขึ้นในพริบตา เพราะก็เคยมีกรณีที่ฮันคยองเคยตอบไปว่า เขาอยากจะขอบคุณซีวอนมากที่สุด และนั่นมันทำให้ฮีชอลโกรธมาก (แต่ดูเหมือนจะน้อยใจมากกว่า) ที่ฮันคยองไม่พูดถึงเขา … หลังจากนั้น เมื่อมีใครถามคำถามนี้ ฮันคยองก็จะตอบว่าเป็นฮีชอล ซึ่งแม้มันอาจจะทำให้ซีวอนน้อยใจบ้าง แต่มันก็น่ากลัวน้อยกว่าการที่ฮีชอลโกรธ

ฮีชอลเป็นพี่ชายที่น้องๆรัก แม้ว่าแต่ละคนจะทั้งจิก ทั้งกัด พี่ชายคนนี้เสมอๆ เพราะบุคลิกของฮีชอลนั้นชวนให้ทำเช่นนั้น แต่ทุกคนก็รักและเคารพเขาเป็นอย่างมาก แม้ในหลายๆครั้ง อาจจะล้อเล่นกันแรงๆ แต่นั่นก็ใช่ว่าจะเกิดจากการที่ไม่เคารพเขา … กับฮีชอลแล้ว น้องๆทุกคนมักจะพูดตรงๆ โดยไม่ต้องเกรงใจว่าเขาจะรู้สึกเช่นไร เพราะเขาเองก็ทำแบบนั้นกับคนอื่นๆเช่นกันนั่นเอง

ในความร่าเริงของฮีชอลนั่นเอง เขากลับเป็นคนที่ค่อนข้างเก็บความรู้สึก เมื่อใดที่เขาทุกข์ หรือไม่สบายใจ ก็มักจะเก็บตัวเงียบๆอยู่ในห้องคนเดียว และเขียนนั่นเขียนนี่ไปตามความรู้สึก โดยที่ไม่ได้ปริปากเล่าให้คนใกล้ตัวฟัง เพราะเขาต้องการที่จะให้คนรอบข้างเห็นเขาในภาพที่เฮฮาร่าเริง มากกว่าที่จะเห็นในเวลาที่เขาอ่อนแอ … และความสามารถพิเศษของฮีชอล ก็คือสามารถทำให้คนอื่นๆหัวเราะได้โดยไม่ต้องทำอะไรมาก บางครั้งแค่เพียงพูดออกมาไม่กี่คำ ก็สามารถสร้างเสียงหัวเราะได้มากมาย นี่คือส่วนคล้าย ระหว่างเขากับชินดง ก็คือ การมีมุขตลกอยู่ในหัวเยอะมากนั่นเอง .. ขนาดเขาเล่าเรื่องตอนที่ถูกรถชน ทั้งๆที่เป็นเหตุการณ์ร้ายแรง ก็กลับเล่าออกมาราวกับว่า มันคือเรื่องตลก ได้

แต่เมื่อใดที่อีชอลโกรธ … เขาจะสามารถแปลงร่างเป็นปีศาจร้ายได้ไม่ยากเย็นนัก มีเพียงไม่กี่คนที่จะกล้าเข้าไปใกล้เขาได้ ซึ่งก็คงมีแ่ค่เพียง จองซู คิบอม และดงแฮ ที่อาจหาญมากพอนั่นเอง ส่วนสมาชิกที่เหลือนั้นก็คงเป็นได้แค่กองหลัง ที่อยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ

ความสัมพันธ์ของฮีชอลและฮันคยองนั้นค่อนข้างจะแน่นแฟ้น แม้ว่าพวกเขาจะเถียงกันได้ไม่เว้นแต่ละวัน และปากของฮีชอลจะร้ายสักแค่ไหน แต่ก็คงมีเพียงฮันคยองคนเดียวที่ปราบได้ … ทุกครั้งที่เถียงกัน มันอาจจะดูเหมือนว่า ฮีชอลจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่ผลสุดท้ายแล้ว ฮันคยองก็มักจะเป็นผู้ชนะแทบทุกครั้งไป เพราะเขาเป็นเพียงคนเดียวที่ฮีชอลยอมให้มาตั้งแต่แรก เพราะขนาดที่ว่า คนอื่นๆที่อายุน้อยกว่า จะต้องเรียกเขาด้วยคำว่า พี่ ทุกคน ก็ยังคงมีแค่เพียงฮันคยองเท่านั้น ที่ฮีชอลอนุญาตให้เรียกชื่อ และถือเป็นเพื่อน หนำซ้ำยังสามารถเรียกชื่อชนิดว่าจิกหัวได้อีกต่างหาก

แต่แม้ว่าฮีชอลจะชอบพูดตรงๆ และไม่ค่อยจะซีเรียสกับสิ่งรอบตัว แต่กับผู้หญิงแล้ว แม้ว่าจะอายุน้อยกว่า เขาก็จะพูดด้วยภาษาที่เป็นทางการอยู่เสมอ เพราะว่าเขาต้องการที่จะให้เกียรติสุภาพสตรีนั่นเอง

ชีวิตของการเดินทางในวงการของฮีชอลนั้นสะดุดลง เมื่อเขาประสบอุบัติเหตุหลังจากที่เดินทางไปร่วมงานศพของพ่อดงแฮ เมื่อรถยนต์ที่เขานั่งนั้นเสียหลักและพุ่งชนบริเวณเกาะกลางถนน ส่งผลให้ขาของฮีชอลนั้นหัก และจำเป็นต้องใส่เหล็กดามขาเอาไว้ ในช่วงเวลาที่เขาอยู่โรงพยาบาลนั้น เขาก็มีเจย์ (Trax) ที่คอยมาดูแลอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้เนื่องจากในวงซูเปอร์จูเนียร์ยังมีคิวแสดงโชว์อยู่มาก จึงทำให้ทุกคนมาดูแลเขาได้ไม่เต็มที่ จึงมีแค่เจย์ที่คอยปรนนิบัติอย่างดี ไม่เว้นแม้แต่การเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ แม้ในตอนแรกเจย์จะถามเขาว่า ต้องการให้ช่วยอาบน้ำหรือไม่ และสภาพร่างกายเขาจะยังบอบช้ำ แต่ด้วยความแมนส่วนตัว ฮีชอลก็ได้ปฏิเสธไป
และนอกจากเจย์แล้ว คนที่เดินทางมาเฝ้าเขาในทุกๆวันก็คือคิบอม ที่มาขลุกอยู่ที่ห้องพักทุกครั้งที่ว่างเว้นจากการถ่ายละคร โดยมีฮันคยองที่ก็มาเยี่ยมทุกครั้งที่ว่างเช่นเดียวกัน
หลังจากนั้นไม่นาน ฮีชอลก็ได้รับทราบถึงโปรเจค Super Junior – T ที่เป็นยูนิตย่อยซึ่งจะทำเพลงลุกทุ่งของเกาหลีมา cover ใหม่ เขาจึงได้เริ่มแต่งเพลงขึ้น และมันก็ได้นำไปใช้ในท่อนแร็พของเพลงในซิงเกิลนั้นเอง
ฮีชอลกลับมาอีกครั้ง ในการประกาศผลรางวัล MKMF 2006 ครั้งนั้นพวกเขา 7 คน ได้แสดงเพลงที่จะใช้ในซิงเกิล T เป็นครั้งแรก โดยที่มีดงแฮนั้นมาร้องแทนในตำแหน่งของฮีชอล และเขานั้นขึ้นไปร้องท่อนแร็พในช่วงท้าย ซึ่งอันที่จริง ก่อนหน้านั้นในเพลงจากซิลเกิ้ลรวมถึงอัลบัมชุดก่อนๆ เขา ชินดง และอึนฮยอกก็ยังช่วยกันเขียนท่อนแร็พไว้หลายๆเพลง โดยที่ฮีชอลนั้นใช้ืชื่อในการแต่งเพลงนั้นว่า ฮีนิม

*****************************************************

ชื่อจริง : Han Geng (ฮัน คยอง)
ชื่อในวงการ : Han Geng (ฮัน คยอง)
วันเกิด : 9 ก.พ. 1984
สถานที่เกิด : ประเทศจีน 1 ก.ค. 1983
ส่วนสูง : 181 ซ.ม. น้ำหนัก : 66 ก.ก.
งานอดิเรก : เล่นเกมคอมพิวเตอร์
ความสามารถพิเศษ : Traditional Chinese dance, Dancing Ballet
เริ่มเข้าสู่วงการบันเทิง : ปี 2001
โดยชนะการออดิชั่นของ H.O.T China
ผลงานอื่นๆ:
– รองชนะเลิศการประกวดเต้นที่ประเทศจีน
– เดินแบบในงาน F/W general idea by Bum Suk (5 พ.ค. 2005)

หานเกิง หรือ ฮันเกิง หรืออีกชื่อคือ ฮันคยอง คือสมาชิกเพียงคนเดียวของวงที่เป็นชาวจีน ถ้าหากนับระยะเวลาที่เขาเดินทางมาใช้ชีวิตที่เกาหลี ก็เป็นเวลาร่วม 5 ปีแล้ว
ฮันคยองเติบโตมาในครอบครัวที่ฐานะปานกลาง อาจจะไม่ได้ร่ำรวยมาก แต่ก็เรียกได้ว่าพอมีอันจะกิน ไม่ถึงกับอัตคัตหรือขัดสน ครอบครัวของเขาทำธุรกิจเล็กๆ และปัจจุบันก็เปิดร้านอาหารที่ปักกิ่ง แต่เมื่อเขาต้องเดินทางมาอยู่เกาหลี ซึ่งมีค่าครองชีพที่สูงกว่าจีน จึงทำให้เขาต้องใช้เงินอย่างประหยัดเป็นอย่างมาก
เขาเริ่มเรียนการเต้นพื้นเมืองของจีน รวมไปถึงการเต้นบัลเลต์และคาราเต้ ในช่วงอายุ 12 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่เขาได้เริ่มรู้แล้วว่าความฝันของตัวเองคืออะไร ฮันคยองได้เข้าร่วมทีมการแสดง ซึ่งมีการแสดงโชว์พื้นเมืองของจีน และอีกหลายๆแบบ แน่นอนว่าเขาเคยขึ้นโชว์บนเวทีในฐานะนักแสดงรุ่นเยาว์อยู่หลายต่อหลายครั้ง และในที่สุด ก็ตัดสินใจที่จะเข้าประกวดการเต้นระดับประเทศที่จีน ในการประกวดนี้เขาทำได้ดีที่สุดเพียงแค่รองชนะเลิศ แต่นั่นมันก็เป็นใบเบิกทางอย่างดีให้กับเขา
และเมื่อปี 2001 เมื่อมีการจัดการออดิชั่น H.O.T. CHINA Audition Casting ขึ้นที่ประเทศจีน ฮันคยองก็ได้เข้าร่วมประกวด และก็ได้รางวัลชนะเลิศมาครอง สร้างความภาคภูมิใจให้กับเขาเป็นอย่างมาก แต่นั่น กลับไม่ได้เป็นประตูที่เปิดสู่ครามงดงามอย่างที่คิด

ในช่วง 8 เดือน หลังจากที่ผ่านการออดิชั่นและรอเซ็นสัญญากับทางต้นสังกัด ซึ่งก็คือ SM Entertainment อยู่นั้น ฮันคยองต้องการที่จะช่วยหารายได้ให้กับครอบครัวอีกทางหนึ่ง จึงออกเดินทางไปทั่วประเทศจีน เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ และด้วยความรู้เท่าไม่ทันการณ์นั้นเอง ที่ทำให้เขาถูกจับอยู่ที่เสิ่นเจิ้น เนื่องจากไม่มีใบอนุญาตเข้าเมือง เพื่อใช้สำหรับการอยู่ในเสิ่นเจิ้น ซึ่งในขณะนั้น ฮันคยองมีเงินติดตัวอยู่เพียงเล็กน้อย ซึ่งไม่มากพอที่จะทำให้เขาหลุดพ้นจากการถูกจับ จึงจำเป็นต้องรอจนกระทั่งเพื่อนของเขาไปทำใบอนุญาตมาให้ จึงได้ถูกปล่อยตัวออกมา

หลังจากที่เซ็นสัญญากับทางต้นสังกัดแล้ว ฮันคยองจึงเดินทางมายังเกาหลี ในช่วงแรกเขาแทบจะไม่มีเงินเลย จึงต้องทำความสะอาดห้องพักโทรมๆ ที่ทั้งอับและชื้น เพื่อใช้เป็นที่ซุกหัวนอนชั่วคราว ความเป็นอยู่ของเขาแทบจะไม่ต่างจากพวกแรงงานชั้นต่ำ ทั้งๆที่เขาคือ ว่าที่ศิลปิน ของค่ายดัง ก่อนที่จะย้ายไปพักอยู่อพาร์ตเมนเดียวกับฮีชอลและคิบอมในเวลาต่อมา

ทั้งความเป็นอยู่ที่ต้องกระเบียดกระเสียน อีกทั้งในแต่ละวัน ฮันคยองจะต้องเรียนภาษาเกาหลี เรียนเต้น เรียนร้องเพลง และอีกหลายต่อหลายอย่าง ที่จำเป็นต้องปูพื้นฐานในการเป็นศิลปินที่ดี ทำให้วันๆหนึ่ง เขาหมดเวลาไปกับการฝึกซ้อมราว 20 ชั่วโมง และมีเวลาพักผ่อนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

เวลาผ่านไปประมาณปีครึ่ง ความพยายามของเขาเริ่มอ่อนแรงลง เพราะสิ่งรอบตัวมันทำให้ชายผู้มีความมุ่งมั่นอย่างเขานั้นเริ่มท้อแท้ การจากบ้านเกิดเมืองนอนมาอยู่ในที่ที่แสนไกล มันทำให้เขาคิดถึงบ้านจนต้องนั่งร้องไห้อยู่หลายต่อหลายครั้ง อีกทั้งความลำบากในการฝึกซ้อมที่ค่อนข้างหฤโหดเองก็เป็นอีกส่วนที่กดดันเขาอยู่ คนที่พูดเกาหลีไม่ได้เลยแม้สักคำ ต้องมาอยู่ตัวคนเดียว แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากลำบากอยู่มาก แต่สิ่งที่เขาทำได้ก็มีแค่ การโทรศัพท์กลับไปหาที่บ้านในยามที่ท้อแท้แทบหมดแรง

หลายต่อหลายครั้ง ที่เขาออกปาก อยากจะล้มเลิกทุกอย่าง แล้วเดินทางกลับไปยังบ้านเกิดและใช้ชีวิตเหมือนกับคนอื่นทั่วๆไป แทนที่จะมาทนทรมานกับการฝึกที่โหดเลือดตาแทบกระเด็นเช่นนี้ แต่แล้วสุดท้าย มันก็เป็นแค่เพียงความคิด เพราะเขาก้าวมาไกลเกินกว่าที่จะหันหลังกลับแล้ว และเพื่อความฝัน เขาได้พยายามกับมันมาจนใกล้จะสำเร็จแล้ว จะให้ละทิ้งมันก็คงจะทำไม่ได้อย่างแน่นอน
ฮันคยองอยู่ในเกาหลีด้วยความเหงา ไม่มีเพื่อนสนิท ไม่มีใครเข้าใจเขาอย่างแท้จริง อาจจะเพราะว่าเขาเป็นชาวต่างชาติ และยังไม่สามารถที่จะปรับความคิดหรือวิถีชีวิตให้กลมกลืนกับชาวเกาหลีรอบตัวได้นั่นเอง ที่ยังเป็นปัญหาอยู่ แต่ด้วยความช่วยเหลือจากฮีชอล เพื่อนร่วมวงที่ย้ายมาพักอาศัยอยู่ที่อพาร์ตเม้นเดียวกันหลังจากเริ่มฟอร์มวงก็ทำให้ทุกๆอย่างเริ่มดีขึ้น
การมีฮีชอลอยู่ข้างๆ ทำให้โลกที่เงียบเหงาของฮันคยองเริ่มมีสีสันขึ้น เพราะฮีชอลจะคอยสอนทุกอย่างให้กับเขา และคอยดูแลฮันคยองแทบจะทุกอย่างเลยก็ว่าได้ แม้แต่เวลาที่เขาจะออกไปซื้อของหรือออกไปข้างนอก ก็มักจะชวนฮันคยองออกไปเป็นเพื่อนด้วยทุกครั้ง
หลังจากที่ตรากตรำฝึกฝนอย่างหนักเป็นเวลา 2 ปี ฮันคยองก็ได้เดบิวต์ในฐานะศิลปินคนหนึ่งของซูเปอร์จูเนียร์ แต่ในความยินดีนั้น ชีวิตการเป็นศิลปินของฮันคยองก็กลับเหมือนจะพังทลายลงตรงหน้า เมื่อเขาได้รู้ว่าตัวเองไม่สามารถขึ้นโชว์กับเพื่อนๆได้ทุกเวที เนื่องจากติดปัญหาเรื่อง VISA ทำให้เขาสามารถปรากฏตัวในรายการโทรทัศน์ได้แค่เพียง 3 สถานีเท่านั้น และหนำซ้ำ ก็ยังมีแอนตี้แฟนจำนวนหนึ่งคอยคุกคามและต่อต้าน เนื่องจากเขาเป็นชาวต่างชาติ แต่เขาก็ไม่เคยที่จะปริปากบ่น ต้องเดือดร้อนถึงฮีชอล ที่ออกโรงจัดการเหล่าแอนตี้แฟนเสียราบคาบ จนพวกเขาเหล่านั้นไม่กลับมารังควาญชีวิตของฮันคยองอีก

แต่ปัญหาก็ยังคงมีไม่จบสิ้น เพราะในช่วงแรก ฮันคยองยังไม่ได้เลือกสถานีที่เขาสามารถขึ้นแสดงได้ จึงจำเป็นต้องหยุดพักการแสดงชั่วคราว จนกว่าจะทำเรื่อง VISA เป็นที่เรียบร้อยเสียก่อน จึงจะกลับมาขึ้นโชว์พร้อมกับเพื่อนๆได้ ทำให้เขารู้สึกเสียใจมาก จนร้องไห้ออกมา แต่เนื่องจากฮันคยองต้องการที่จะขึ้นแสดงร่วมกับเพื่อนๆในวง เขาจึงได้ขอร้องผู้จัดการและผู้จัด โดยขอใส่หน้ากากขึ้นแสดงบนเวที แต่แล้วก็ต้องถูกฮีชอลดึงไปแล้วถอดหน้ากากออก ระหว่างที่ทำการแสดงอยู่ และพยายามผลักดันให้เขาแสดงบนเวทีต่อจนจบ เพราะฮีชอลต้องการที่จะให้ฮันคยองทำในสิ่งที่เขาต้องการนั่นเอง

หลังจากที่จัดการเรื่อง VISA เรียบร้อยแล้ว ทำให้ฮันคยองได้กลับมาขึ้นโชว์ได้อีกครั้ง แต่นั่นหมายความว่า เขาสามารถออกทีวีได้ตามที่ทาง VISA กำหนดเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่า ทำให้เขารู้สึกแย่และเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจอย่างเป็นที่สุด แต่เนื่องจากได้กำลังใจจากเพื่อนๆร่วมวง ก็ทำให้ฮันคยองกลับมาเข้มแข็งขึ้นอีกครั้ง

ในช่วงที่อยู่เกาหลี ในเวลาว่าง ซีวอนมักจะมาคลุกคลีอยู่กับเขาเสมอๆ เนื่องจากจะต้องไปถ่ายทำภาพยนตร์ที่ประเทศจีน อันเป็นบ้านเกิดของฮันคยอง ทั้งคู่จึงมาแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องภาษากัน โดยซีวอนจะพูดกับฮันคยองเป็นภาษาจีน และฮันคยองก็จะตอบกลับไปเป็นภาษาเกาหลี …และซีวอน ก็เป็นอีกหนึ่งคน ที่ฮันคยองรักมาก เนื่องจากซีวอนจะคอยช่วยเหลือเขาอยู่เสมอๆ หลายครั้งที่เขาไม่เข้าใจคำถาม คำสั่ง หรือสิ่งที่คนอื่นพูดออกมา ก็จะได้ซีวอนคอยสะกิดบอก หรือคอยอธิบายให้ฟังอยู่ตลอด รวมถึงคอยเสนอความคิดเห็นต่างๆในเวลาที่เขาต้องการความช่วยเหลือ

ด้วยนิสัยที่มักจะชอบเป็นห่วงคนอื่นๆอยู่เสมอ และเป็นคนที่ไม่ค่อยกล้าสักเท่าใดนัก ทำให้ฮันคยองค่อนข้างจะเกรงใจสมาชิกคนอื่นๆในวง แม้ว่าเขาจะแกล้งคนนั้นคนนี้บ้าง แต่ถ้าหากโดนสวนกลับก็มักจะเป็นฝ่ายยอมให้อยู่เสมอ เว้นแค่ฮีชอล ที่ฮันคยองแทบจะไม่เคยยอมให้เลย และเขาก็อาจจะเป็นคนเดียวที่สามารถเอาชนะฮีชอลได้ แม้ว่าจากลักษณะภายนอกแล้ว จะดูเหมือนว่าฮีชอลนั้นปากกล้า บ้าอำนาจ และคอยเอาแต่ใจกับฮันคยองอยู่เสมอๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขาไม่เคยทำได้สำเร็จเลย เพราะเอาเข้าจริง ก็ถูกฮันคยองตอกหน้าหงายแทบจะทุกครั้งไป แต่แม้จะมีเรื่องให้เถียงกันแทบจะทุกวัน ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่ได้สั่นคลอน เพราะเมื่อใดที่ฮีชอลงอน ฮันคยองก็มักจะคอยตามง้ออยู่ตลอด เพราะสำหรับฮันคยองแล้ว ฮีชอลนั้นคือส่วนหนึ่งของชีวิตเขา คือคนในครอบครัวที่เกาหลีของเขา ถ้าหากเขาไม่มีฮีชอล เขาก็ไม่รู้ว่าจะผ่านช่วงเวลาอันเลวร้ายมาโดยลำพังได้อย่างไร แต่ถึงจะสนิทสนมกันมากสักเพียงใดก็ตาม สิ่งที่ฮันคยองไม่ชอบมากที่สุด ก็คือ การที่แฟนๆจับคู่เขากับฮีชอล และซีวอน
ภาพลักษณ์ของฮันคยอง นั้นดูจะเป็นชายหนุ่มที่แสนดี อบอุ่น และช่างเป็นห่วงเป็นใยคนรอบข้าง แต่ในอีกมุม เขาไม่ได้ดีอย่างที่หลายๆคนวาดฝันเอาไว้สักเท่าใดนัก เพราะนับตั้งแต่โดนฮีชอลแฉหลายต่อหลายเรื่อง ก็ทำให้ได้รู้ว่า เขาก็เป็นแค่เพียงผู้ชายธรรมดาๆคนหนึ่ง ที่มีหลายบุคลิคในตัว ไม่ได้ดีเลิศเลอเพอเฟ็คท์ ดังเช่นเจ้าชายในนิทานแต่อย่างใด … แต่เขาแค่มีความจริงใจ ความห่วงใย และความเอาอกเอาใจให้แค่คนรอบข้างที่หวังดีต่อเขาเท่านั้นเอง
และในช่วงหนึ่ง ที่ฮันคยองได้หายหน้าหายตาไป ไม่ได้มาร่วมงานกับเพื่อนๆ ก็เนื่องจาก วันที่เขานัดติดต่อกับสถานทูตนั้น ฮันคยองไปไม่ทันเวลานัด เนื่องจากในช่วงกลางคืนหลังจากที่กลับมาจากจีน เขาก็ได้พาฮีชอลไปดูหนังเพื่อฉลองวันเกิดให้กับเพื่อนรัก ซึ่งเป็นหนังผีรอบดึก จึงทำให้ตอนเช้าวันต่อมานั้นไม่สามารถไปพบเจ้าหน้าที่ที่สถานทูตได้ตามเวลาที่จำหนด จึงทำให้การต่อ VISA ต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด ฮันคยองจึงสามารถกลับมาอยู่เกาหลีได้เพียงครั้งละไม่กี่วันเท่านั้น

และเมื่อเขาได้ทราบถึงโปรเจค ซูเปอร์จูเนียร์ไชน่า ขึ้น แน่นอนว่าฮันคยองรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เขาไม่ได้คิดอะไรมากมายไปกว่า การที่จะได้ออกผลงานที่บ้านเกิดของตัวเองอย่างเต็มตัว ฮันคยองไม่เคยคิดว่ามันคือยูนิตย่อย ไม่เคยคิดว่าจะมีใครต่อต้าน ไม่เคยคิดถึงผลกระทบที่จะเกิด เขารู้แค่เพียงว่า … ในที่สุด เขาก็ได้มีผลงานในบ้านเกิด ได้ร้องเพลงในภาษาที่เขาคุ้นเคย

แต่ในความเป็นจริงแล้ว … มันกลับไม่ได้สวยหรู หรืองดงามอย่างที่เขาคิด เมื่อมีแฟนคลับจำนวนมากได้ออกมาต่อต้านโปรเจคนี้ มันสะกิดให้เขาได้รุ้สึก และได้มองย้อนกลับมาถึงความเป็นจริง ว่าชีวิตของเขาอยู่ที่ซูเปอร์จูเนียร์ แม้ว่าจะต้องการที่จะทำงานในฐานะคนจีนสักเพียงใด แต่สุดท้าย เขาก็ยังเป็นซูเปอร์จูเนียร์อยู่วันยังค่ำ ฮันคยองจึงตกอยู่ในภาวะ กลืนไม่เข้า คายไม่ออก เขาไม่สามารถออกความคิดเห็นใดๆเกี่ยวกับโปรเจคนี้ได้ ทั้งสนับสนุน และต่อต้าน สิ่งที่เขาทำได้ก็แค่เพียง ภาวนาให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดี

*****************************************************

ชื่อจริง : Kim Jong Woon (คิม ชง อุน)
ชื่อในวงการ : Ye Sung (เย ซอง)
วันเกิด : 24 ส.ค.1984
ส่วนสูง : 178 ซ.ม. น้ำหนัก : 64 ก.ก.
งานอดิเรก : ร้องเพลง, ฟังเพลง, ออกกำลังกาย
เริ่มเข้าสู่วงการบันเทิง : ปี 2001 โดย Starlight Casting System
ผลงานอื่นๆ :
– ชนะเลิศ “ChunAn Music Competiton” (พ.ย. 1999)
– ชนะเลิศสาขา Best singer ในการประกวด SM Youngster contest
ครั้งที่ 3 (2001)
– SBS ‘I like Sunday X-Man’ (พ.ย. 2005)

เยซอง … เคยพูดเอาไว้ว่า “เขาคือสมาชิกที่มีแฟนคลับน้อยที่สุด!!”

เด็กชาย คิมจงอุน เกิดและเติบโตที่ชองอัน ในตอนเด็กๆ เขาค่อนข้างที่จะเกเรพอสมควร เพราะเคยตั้งแก๊งกับเพื่อนๆแถวบ้าน และเขาก็เป็นหัวหน้าก๊วน เพื่อที่จะต่อสู้กับเด็กกลุ่มอื่นที่ไม่ค่อยจะถูกชะตากัน สร้างความปวดหัวให้กับทางครอบครัวของเขาเป็นอย่างมาก

ในตอนเด็กนั้น เขาอยากที่จะได้หุ่นยนต์สักตัว แต่ด้วยความที่พ่อบอกเขาเสมอๆ ่ว่าเด็กผู้ชายควรจะออกกำลังกายมากกว่าจะไปนั่งเล่นของเล่นไร้สาระ จึงทำให้จงอุนออกกำลังกายเป็นประจำ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา และด้วยความที่เขาแข็งแรง ไม่ชอบเวลาที่เห็นผู้ชายคนไหนด่าทอผู้หญิงนั่นเอง จึงทำให้ในวัยเด็กของจงอุน มีเด็กผู้หญิงมาปลื้มเขาเป็นจำนวนไม่น้อย

จงอุนค่อนข้างจะเป็นเด็กหัวดี แต่ไม่ค่อยจะตั้งใจเรียนสักเท่าไหร่ เขาไม่ชอบเวลาที่หันไปมองแล้วเห็นว่ามีอุปกรณ์การเรียนอยู่ใกล้ๆตัว เพราะมันทำให้เขารู้สึกเบื่อหน่ายเป็นอย่างมาก และสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกดี และอยากให้มีอยู่ใกล้ๆตลอดเวลา ก็คือ CD เพลง และเครื่องเล่น

ด้วยความที่เขาชื่นชอบเสียงเพลงมาก อีกทั้งยังร้องเพลงใช้ได้ แม่ของเขาจึงได้ถามขึ้นในวันหนึ่ง ว่าถ้าหากเขาชอบเสียงเพลงเป็นชีวิตจิตใจขนาดนี้ ทำไมถึงไม่ลองไปออดิชั่นกับทางค่ายเพลงดู และก็ได้ไปติดต่อสอบถามถึงรายละเอียดการประกวดมาให้ลูกชายคนโตเสียเสร็จสรรพ

แม่ของจงอุนผลักดันเขาทุกวิถีทาง เพื่อจะสานความฝันของลูกชายให้เป็นจริง เมื่อมีการจัดการประกวดขึ้นที่โซล จงอุนและแม่ก็เดินทางมาเพื่อทำการแข่งขัน แต่ด้วยความที่ไม่คุ้นเคยกับสถานที่แปลกใหม่อย่างโซล จึงทำให้สองแม่ลูกต้องหลงทางกันอยู่นานสองนาน แต่ก็ยังโชคดีที่เดินทางไปทันการประกวด
ในการประกวด จงอุนร้องเพลงออกมาค่อนข้างดี แต่สำหรับการเต้นแล้ว เขาไม่ค่อยมั่นใจกับมันสักเท่าใด หรืออาจจะไม่มั่นใจเลยก็ว่าได้ เพราะเขาไม่เคยเต้นมาก่อน จงอุนบอกกับตัวเองในใจ ว่าเขาคงจะได้ที่สุดท้ายเป็นแ่น่ … แต่ผิดคาด ผลออกมาคือ เขาได้รับรางวัลชนะเลิศมาแบบไม่ได้คาดคิดมาก่อน ซึ่งเขาก็ได้ผ่านการออดิชั่นเข้ามาเป็นศิลปินฝึกหัดพร้อมๆกับ แจจุง (TVXQ)
แต่การเป็นศิลปินฝึกหัดนั้นช่างทรมานและยากเย็นกว่าที่คิด หลังเลิกเรียน จงอุนจะต้องนั่งรถไฟจากชอนอันมาฝึกซ้อมกับทางบริษัททุกวันจนดึก และเดินทางกลับด้วยรถไฟขบวนสุดท้าย ตอนเวลา 23.20 น. เสมอ และเพื่อนร่วมเดินทางของเขาก็คือ ยุนโฮ (TVXQ) (ก่อนยุนโฮจะมาเช่าบ้านอยู่กับดงแฮและฮีชอล) ที่เดินทางกลับด้วยรถไฟเพื่อไปควางจู เช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้จงอุนเริ่มสนิทกับยุนโฮ เพราะระหว่างทาง พวกเขาได้มีอะไรมาพูดคุยกันมากมาย และก็ยังร่วมสร้างวีรกรรมที่ไม่ค่อยจะเหมาะสมกับการเป็นเยาวชนอีกด้วย นั่นคือการดื่มเบียร์บนรถไฟ จนทำให้นั่งเลยสถานีชอนอันไปถึงดูจอง ด้วยความที่ไม่มีรถกลับ ทำให้จงอุนต้องโทรศัพท์ไปบอกแม่ ว่าเขาจำเป็นต้องนอนค้างที่บ้านเพื่อน และใช้เวลาอยู่ที่สถานนีดูจองนั้นทั้งคืน
เขายังคงฝึกซ้อมเป็นอย่างหนัก แม้ว่าจะยังไม่รู้ชะตาของตัวเอง ว่าจะได้เดบิวต์หรือไม่ เพราะแต่ละคนที่เป็นศิลปินฝึกหัดนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นที่ 1 มาจากแต่ละเวที แ่น่นอนว่าทุกคนมีความสามารถไม่น้อยไปกว่ากัน แต่สิ่งที่จะทำให้พวกเขาได้เดบิวต์นั้นก็คือ หลังจากที่ฝึกซ้อมเป็นระยะเวลานานแล้ว ผลงานของใครจะออกมาดีกว่ากัน …และนั่นอาจจะรวมไปถึง ใครที่ดวงดีกว่าใคร

จงอุนมีเพื่อนสนิทในสมัยเป็นศิลปินฝึกหัดคือ ยุนโฮและแจจุง เนื่องจากผ่านการออดิชั่นมาพร้อมๆกัน นอกจากนั้น เขากับยองอุน (คังอิน) ก็ยังสนิทสนมกันมาก แต่ด้วยนิสัยบางอย่างของทั้งคู่ ที่ดูจะคล้ายกันในบางส่วนจนเกือบๆจะเป็นคู่แข่งกัน ไม่ว่าจะเป็น ชอบการต่อสู้ ชกต่อย และอีกมากมาย ทำให้ยองอุนมักจะแกล้งทำท่าราวกับว่ารังเกียจจงอุนเสมอ เนื่องจากยองอุนรู้จักนิสัยของเพื่อนคนนี้ดี ว่ามักจะชอบทำอะไรให้ ‘มาก’ กว่าชาวบ้าน ทั้งๆที่ไม่มีความจำเป็น แต่ความจริงแล้ว พวกเขาทั้งคู่ก็ต่างผูกพัน และมีกันและกันอยู่ในสายตาเสมอ เพราะแม้ว่าปากของยองอุนจะด่าทอ ผลักไสจงอุน มือจะใช้กำลังกับเขา หรือแม้แต่เท้าที่ก็ยังไม่ละเว้น แต่ทุกครั้งที่มีอะไรเกิดขึ้นกับจงอุน ยองอุนคนนี้ก็มักจะเป็นคนแรกที่มองเห็นเสมอ ด้วยเหตุนี้เอง จงอุนจึงไม่เคยสักครั้งที่จะโกรธเคืองยองอุน แม้จะโดนโขกสับ หรือถูกตบจนหัวแทบหลุดก็ตาม
และกับฮีชอลก็เช่นกัน จงอุนค่อนข้างที่จะติดฮีชอลอยู่มาก เขามักจะทำตัวเด็กเวลาที่อยู่กับฮีชอล แต่ด้วยนิสัยที่ชอบโชว์พาวของจงอุน (ถ้าไม่ชอบโชว์พาว คงไม่เป็นหัวหน้าแก๊ง) และอาจจะด้วยความพูดมากส่วนตัว จนออกแนวไร้สาระ ที่ทำให้อีชอลมักจะหาเรื่องว่าจงอุนเสมอๆ แต่นั่นก็เกิดจากความสนิทสนมและเอ็นดูในตัวน้องชายคนนี้ เพียงแค่การแสดงออกนั้นดูจะตรงกันข้ามกับสิ่งที่อยู่ในใจเท่านั้นเอง และด้วยความที่เขาเป็นคนติดจะสำอางหน่อยๆ เวลาว่าง หรือทุกครั้งที่เห็นกระจก จงอุนก็มักจะหยุดส่องและจัดเสื้อผ้า หน้า ผม ให้เข้าที่เข้าทาง และก็เป็นแบบนี้เสมอๆ จนติดเป็นนิสัย หลายครั้งที่เขาเผลอทำมันโดยไม่รู้ตัว จนฮีชอลต้องหันมากัดเอาบ่อยๆ
จงอุนมีความภาคภูิมิใจในความเป็นพวกเลือดกรุ๊ป AB และมักจะพูดถึงตัวเขาและฮีชอลในเรื่องนี้ และท้ายที่สุด ก็มักจะโดนฮีชอลว่ากลับมาทุกครั้ง “ถึงเราจะเลือดกรุ๊ปเดียวกัน แต่อย่าเอาชั้นไปรวมเป็นพวกเดียวกับนาย” เพราะเขาพูดถึงมันมากจนทำให้มันกลายเป็นเรื่องไร้สาระไปเสียแล้ว

แม้ว่าจะเป็นเด็กที่ค่อนข้างเกเรอยู่บ้าง แต่จงอุนก็ไม่เคยที่จะทำตัวไม่ดี หรือออกนอกลู่นอกทางเลย เพราะเพียงแค่ดื่มเบียร์กระป๋องเล็กๆ มันก็ทำให้เขาเมาจนแทบลุกไม่ึขึ้น ด้วยเหตุนี้เอง จงอุนจึงมักจะถูกเพื่อนๆลากไปร่วมวงด้วย แต่ไม่ใช่เพื่อให้เขาไปร่วมดื่ม เพราะเพื่อให้เขาเป็นคนหอบหิ้วเพื่อนๆกลับแทนนั่นเอง ส่วนเรื่องบุหรี่ จงอุนไม่แตะต้องมัน เนื่องจากเขาคิดว่ามันจะทำให้เส้นเสียงเสีย แต่ในความเป็นจริงแล้ว ครั้งแรกที่เขาลองสูบ มันทำให้เขาสำลักควันแทบตายต่างหาก
จงอุนได้เข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัย Sunmoon และได้รับอนุปริญญาไปในช่วงก่อนเดบิวต์เพียงไม่กี่เดือน ในช่วงนั้นเอง ที่อาการป่วยเพราะนิ่วของเขาได้กำเริบขึ้น ทำให้ใบหน้าของเขาเริ่มบวมอย่างเห็นได้ชัด แต่ด้วยความที่เกรงว่าจะเป็นตัวถ่วง และทำให้คนรอบข้างเป็นห่วง เขาจึงเก็บงำเรื่องนี้เอาไว้เพียงคนเดียว
ช่วงที่ฟอร์มวงซูเปอร์จูเนียร์ จงอุนได้เปลี่ยนมาใช้ชื่อ เยซอง เพื่อใช้ในวงการบันเทิง เพราะเขารักในเสียงเพลง และอยากมีชื่อที่แสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์ที่เขามี และก็เริ่มที่จะสนิทสนมกับรยออุค ศิลปินฝึกหัดน้องใหม่ที่เพิ่งผ่านเวทีการประกวดมาได้ไม่นาน
เขามักจะใช้ชื่อเรียกตัวเองว่า Cloud ซึ่งแปลว่า ก้อนเฆฆ มันมาจากความหมายของนามสกุลของเขาเมื่อเขียนเป็นภาษาจีน ด้วยเหตุนี้เอง ที่ทำให้เขาชื่นชอบก้อนเมฆเป็นพิเศษ
ในเวลาที่มีปัญหา หรือไม่สบายใจ จงอุนมักจะระบาย หรือเล่าเรื่องราวต่างๆของเขาให้กับรยออุคฟังเสมอๆ ทั้งๆที่รู้ว่า้น้องชายตัวดีคนนี้นั้นแสบสักเพียงใด เขาก็ยังเต็มใจที่จะเล่า แม้ว่าเรื่องที่เขาเล่า จะถูกนำมาแฉผ่านทางรายการต่างๆอยู่เสมอ

เขากับรยออุค มักจะทะเลาะกันด้วยเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง และเีถียงกันในสิ่งที่ไม่เป็นสาระ เนื่องจากแต่ละคนก็อยากจะเอาชนะ แต่สุดท้าย ก็ดูเหมือนว่า จงอุนจะเป็นฝ่ายแพ้แทบทุกครั้ง แต่เขาก็ไม่เคยที่จะโกรธเพื่อนรุ่นน้องคนนี้จริงๆจังๆสักที เพราะเวลาที่เขาต้องการความช่วยเหลือใด รยออุคก็มักจะยื่นมือมาให้เป็นคนแรกเสมอ (และก็เป็นคนแรกที่พร้อมจะซ้ำเติมเช่นกัน)
หลายๆคน อาจจะคิดว่าจงอุนเป็นคนพูดน้อย ค่อนข้างนิ่ง และเก็บตัว แต่อันที่จริงแล้ว เขาเป็นคนที่บ้า ถึงขั้นที่ฮีชอลเรียกว่า หมาบ้า และก็ค่อนข้างที่จะพูดมากถึงมากที่สุด แต่เป็นการพูดออกแนวหาสาระไม่ได้ อีกทั้งยังกล้า และบ้าบิ่น เสียจนยองอุนไม่กล้าเดาว่าถ้าหากต้องมีเรื่องชกต่อยกับคนอื่นนั้นจะเกิดอะไรขึ้น เพราะจงอุนคงไม่มีทางยอมแพ้ และคงเล่นงานอีกฝ่ายสุดชีวิต จนเขาไม่อยากที่จะคิดสภาพที่จะออกมา
จงอุนเคยรู้สึกน้อยใจ เพราะเขาคิดว่าเขาเป็นคนที่มีแฟนคลับน้อยที่สุดในวง นั่นจึงทำให้เขาพยายามที่จะแสดงความเป็นตัวของตัวเองออกมาให้มากขึ้น เพราะที่ผ่านๆมา ด้วยอาการป่วย และเนื่องด้วยเป็นคนอายกล้อง เขาจึงมักจะทำตัวเงียบๆ และหลบอยู่ตามมุมเสมอๆ แต่ในทุกวันนี้ จะเห็นได้ชัดว่า เขากล้าที่จะทำอะไรต่อมิอะไรเวลาอยู่หน้ากล้องมากขึ้น และเริ่มฉายแววโดดเด่นขึ้นมาอย่างมากมาย ทั้งนี้ ในช่วงก่อนที่จะออกอัลบัมชุดที่ 2 จงอุนได้ตั้งปณิธานเอาไว้ ว่าจะพัฒนาตัวเองในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออก รูปร่าง การร้องเพลง การเต้น หรือแม้แต่การปฏิบัติตัว … และเขาก็สามารถทำได้ แม้ว่าจะไม่ครบตามที่หวังก็ตามที

และด้วยความบ้าส่วนตัวที่เขามี จงอุนมักจะชอบอะไรที่แปลกๆ หรือสิ่งที่เขาคิดว่าสะดุดตา ในเมื่อครั้งที่มาเมืองไทยในนาม KRY เขาได้มีโอกาสชมมิวสิควิดีโอเพลงลูกทุ่งของไทย และใครจะเชื่อว่า “อาภาพร นครสวรรค์” จะกลายเป็นไอดอลประจำใจของเขาตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา (ร้องเพลงเชฟบ๊ะได้ด้วย เอากะมันสิ -*- )
เส้นทางชีวิตขอ เจ้าชายแห่งเมฆา ยังคงดำเนินต่อไป แม้ว่าท้องฟ้าจะมีพายุ หรือฝนที่ตกกระหน่ำ แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังมีเอลฟ์คอยเคียงข้าง และคอยปกป้องให้ก้อนเมฆก้อนนี้อยู่รอดปลอดภัย และได้พบเจอกับแสงแดดดันสดใสในทุกๆวัน

*****************************************************


ชื่อจริง : Kim Young Woon (คิม ยอง อุน)
ชื่อในวงการ : Kang In (คัง อิน)
วันเกิด : 17 ม.ค.1985
ส่วนสูง : 180 ซ.ม. น้ำหนัก : 70 ก.ก.
งานอดิเรก : ร้องเพลง, ว่ายน้ำ, ศิลปะป้องกันตัว
ความสามารถพิเศษ : การแสดง
เริ่มเข้าสู่วงการบันเทิง : ปี 2002
โดยชนะเลิศสาขา Most handsome ในการประกวด SM Youngster contest
ผลงานละคร :
– SBS ‘Man and Woman’ (พ.ค. 2002)
– SBS ผู้ประกาศข่าว ‘Entertainment show’ (เม.ย. 2004)
ผลงานด้านอื่นๆ :
– พิธีกรในงาน showcase ของดง บัง ชิน กิ (ก.ย. 2005)
– พิธีกรในงานมีทติ้งแฟนคลับ ของ BoA (ก.ย. 2005)
– พิธีกรรับเชิญรายการ ‘Saturday’ทางMBC (พ.ย. 2005)
– พิธีกร M-Net, KMTV – M!Countdown (พ.ย. 2005)

ตั้งแต่เล็กจนโตของผู้ชายคนนี้ .. คิมยองอุน เขาเคยฝันอยากที่จะเป็นนักกีฬา เพราะชีวิตตั้งแต่เด็กของเขานั้นอยู่กับสระว่ายน้ำ และก็เป็นนักกีฬาว่ายน้ำ แน่นอนว่า ความฝันของเขาที่มีมาตลอดนั้นคือ การเป็นนักกีฬา เขาออกกำลังกายมาตั้งแต่เล็กและก็ว่ายน้ำมาเรื่อยๆ และด้วยเหตุนี้เอง จึงมีสาวๆ รวมถึงผู้ชายที่ไม่ใช่ผู้ชาย มาชอบเขามากมาย

ยองอุน เคยได้รับของขวัญจากรุ่นพี่ผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งในตอนแรกเขานั้นชั่งใจอยู่นานสองนาน ว่าจะรับมันดีหรือไม่ แต่สุดท้ายก็รับไว้ เพราะว่าราคาของนั้นมันแพง และเขาก็คงจะไม่มีปัญญาที่จะซื้อมันเอง นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขามีข่าวออกมา ว่าอาจจะมีใจให้กับเพศเดียวกัน หลังจากนั้นในวันวาเลนไทน์ เขาก็จะได้รับช็อกโกแลตมากมาย แต่น่าเสียดายที่กว่า 80% ของผู้ให้ … เป็นผู้ชาย!!

จนกระทั่งอยู่ ไฮสคลูล ปี 2 วันหนึ่ง เขาได้เดินทางมาทัศนศึกษาที่งานประกวดวรรณกรรม ที่จัดขึ้นบริเวณ ทรีมปาร์ค และที่นั่นเอง ที่เขาได้พบกับแมวมองของบริษัท ที่ได้ให้นามบัตรแก่เขามา พร้อมกับชักชวนให้เข้าไปออดิชั่นกับทางค่าย

นามบัตรที่ได้มาโดยบังเอิญที่ทรีมปาร์ค มันทำให้เส้นทางชีวิตของยองอุนแทบจะพลิกผันจากเดิม เพราะเขาเบนเข็มจากการเป็นนักกีฬา มาสนใจด้านการเป็นดารานับตั้งแต่วันนั้น และด้วยที่พ่อแม่ของเขาคอยสนับสนุนในสิ่งที่ลูกชายคนนี้เลือกเสมอ ท่านทั้งสองจึงไม่คัดค้านในการตัดสินใจนี้ และพร้อมที่จะผลักดันให้เขาไปในเส้นทางที่ต้องการ

การออดิชั่นครั้งแรกในชีวิตนั้นผ่านไปอย่างไม่ยากเย็นนัก สร้างความประหลาดใจให้กับยองอุนค่อนข้างมาก มันทำให้เขากลับมาคิดทบทวนดู ว่าเขาได้รางวัลมาเพราะว่าโชคช่วย หรือเพราะว่าในความเป็นจริงแล้ว เขาไม่รู้ว่าตัวเองมีพรสวรรค์ในด้านนี้มาก่อนเท่านั้นเอง

แล้วชีวิตที่เคยเป็นเพียงนักเรียนธรรมดา ที่ใช้เวลาอยู่กับสระว่ายน้ำ ก็กลายเป็นว่า ในแต่ละวันหลังเลิกเรียน เขามีแต่การฝึก จนดึกจนดื่น และความฝันที่จะเป็นนักร้องนั้นมันก็เริ่มที่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

แต่สิ่งเหล่านั้น … มันไม่ได้ดูสนุกสนานและงดงามเสมอไป หลังจากที่การฝึกผ่านไปปีแล้ว ปีเล่า แต่ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า เพื่อนๆก็ต่างเริ่มสงสัยในตัวของเขา ว่าเขาจะได้เดบิวต์แน่หรือ? เขาถูกหลอกหรือเปล่า? หรือว่าเขาโกหกเพื่อนอยู่? … จนมันทำให้เกิดสงครามน้ำลายย่อยๆ ระหว่างเขากับเพื่อนอยู่หลายครั้ง
แม้ว่าจะเถียงกับเพื่อนไปเช่นนั้น ว่าเขามั่นใจว่าจะได้เดบิวต์ แต่ลึกๆในใจเขาก็ยังกลัว และก็เริ่มที่จะถามตัวเอง “จะได้เดบิวต์จริงๆเหรอ หรือว่าจะจบลงแค่นี้จริงๆ”
ยองอุนถามตัวเองซ้ำๆในความเงียบ และเขาก็ได้คำตอบว่า ถ้าให้มันจบเพียงแค่นี้ มันก็เท่ากับว่าเขายอมแพ้ … เขาเกลียดการแพ้
หลังจากนั้น ก็มีข่าวเด็กฝึกหัดด้วยกันลาออกไปหลายต่อหลายคน แม้แต่ใครที่เคยสนิทก็ต่างทยอยกันออกไป เนื่องจากทนไม่ไหวกับการฝึกหัดที่แสนสาหัส และดูเหมือนว่าวี่แววการเดบิวต์นั้นจะรีบหรี่ และมองไม่เห็นฝั่ง … เขาเองก็กลับมาทบทวนอยู่หลายครั้ง เพราะยองอุนคิดถึงความรู้สึกของพ่อและแม่ที่เชื่อใจเขามาตลอด แม้ต่อหน้าท่านทั้งสองจะทำเหมือนว่าไม่มีอะไร แต่ที่จริงแล้ว เขารู้ว่าท่านเป็นห่วงเขาเสมอ และด้วยคำพูดของเพื่อนที่คอยตอกย้ำ มันก็ทำให้เขวไขว้เขว จนทำให้ผมของเขาร่วงเพราะความเครียด
และสิ่งที่สร้างบาดแผลในใจให้เขาอีกเรื่องหนึ่งก็คือ การถูกเข้ามาถามว่า สนิทกับเด็กฝึกหัดคนอื่นๆหรือเปล่า? เพราะมันทำให้เขาขายหน้าเป็นอย่างมาก ที่โดนถามถึงเรื่องราวของเด็กฝึกหัดคนอื่นๆ ซึ่งก็ถือได้ว่า เป็นทั้งเพื่อนและคู่แข่งของตัวเขาเอง
เรื่องราวมากมายผ่านเข้ามาในช่วงเวลา 5 ปีของการเป็นศิลปินฝึกหัด จนกระทั่งในวันหนึ่ง ทางต้นสังกัดเรียกเขาไปคุยในเรื่องโปรเจ็คใหม่ของบริษัท มันทำให้เขาดีใจมาก ที่ความฝันของเขาเป็นจริงขึ้นแล้ว … ความเหน็ดเหนื่อยที่ผ่านมานั้นเห็นผลแล้วก็วันนี้ เขาถามผู้จัดการซ้ำไปซ้ำมา จนกระทั่งแน่ใจ ว่าตัวเองไม่ได้ฝันไปจริงๆ
แต่ก่อนที่จะได้เดบิวต์ เขาจำเป็นต้องลดน้ำหนักที่พุ่งสูงกว่า 100 กิโลกรัม โดยแต่ละวัน เขาดื่มแค่เพียงน้ำ และงดอาหารทุกชนิด ทำเช่นนั้นอยู่เป็นเดือน จนกระทั่งน้ำหนักที่มากนั้นลดลงไปกว่า 26 กิโลกรัม และทำให้รูปร่างที่เคยอ้วนท้วนสมบูรณ์นั้นออกมาดูดีอย่างที่เห็นในช่วงเดบิวต์ใหม่ๆ

ในช่วงที่ทำการฝึกซ้อมร่วมกับเพื่อนๆในวงนั้น ด้วยความที่แต่ละคนเป็นเด็กผู้ชายในวัยกำลังซน แน่นอนว่ามันคล้ายกับการจับปูใส่กระด้ง ทุกครั้งที่เขาเห็นจองซู (อิทึก) ต้องคอยปวดหัวกับน้องๆ ยองอุนจะรู้สึกแย่เสมอ เพราะเขานับถือจองซูมาก ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน เขาจึงต้องการที่จะแบ่งเบาภาระให้พี่ชายคนนี้บ้าง และเพื่อต้องการให้ในวงนั้นเป็นระเบียบ แต่ละคนไม่เล่นหรือนอกเรื่องจนเกินไป เขาจึงไปขอให้จองซูช่วยแสดงละคร และใช้ตัวเขาเองเป็นคนที่ถูกจองซูทำโทษด้วยการตี ทั้งนี้เพื่อเป็นแบบอย่างให้กับน้องๆในวง และเพื่อทำให้จองซูดูเด็ดขาดมากขึ้น เพราะแม้ว่าจองซูจะอายุมากที่สุด น่าเชื่อถือที่สุด แต่เขาก็ใจอ่อนกับน้องๆอยู่มาก … และเหตุการณ์ในครั้งนั้น ก็ทำให้พวกเขา ซูเปอร์จูเนียร์ รักและสามัคคีกันมากขึ้น เพราะเมื่อยองอุนถูกตี แต่ละคนก็พร้อมใจกันยกมือขึ้น และขอให้ตีพวกเขาด้วย
หลังจากนั้น ยองอุนก็จะคอยเป็นผู้ช่วยของจองซูเสมอมา เพราะเขารู้ว่าการแบกรับภาระของลีดเดอร์นั้นหนักเพียงใด และยิ่งต้องปกครองน้องๆ ที่ซนเป็นลิงถึงสิบกว่าชีวิต มันไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ดังนั้น ยองอุนจึงรักและห่วงจองซูมากเป็นพิเศษ เขาคิดอยู่เสมอว่า จองซูคือพี่ใหญ่ ที่รับบทหนักกว่าทุกๆคนในครอบครัว เมื่อใดที่มีปัญหา ด่านแรกที่จะต้องโดนก็คือจองซู และด้วยความที่จองซูเป็นคนที่ไม่ค่อยใส่ใจในตัวเองนัก เพราะมักจะเอาเวลาไปใส่ใจคนอื่นๆเสียมากกว่า ยองอุนจึงต้องคอยทำหน้าที่ดูแลพี่ชายคนนี้แทนตัวของเขา จนก่อให้เกิดเป็นความรักและความผูกพันขึ้นมาทีละน้อย และกลายเป็นคู่หูกันไปในที่สุด จนถึงขั้นบันทึกชื่ออีกฝ่ายด้วยฉายา ว่า “คังอินผู้แข็งแกร่งแต่อ่อนแอ” กับ “อิทึกจอมแก่”
และด้วยความที่ยองอุนมีพรสวรรค์ด้านการพูด การแสดง และการเข้าหาผู้ใหญ่ เขาจึงได้รับหน้าที่ MC ดำเนินรายการอยู่เสมอๆ และงานที่เขาทำนั้นก็ออกมาค่อนข้างดี ได้รับความนิยม เนื่องจากเขารู้ว่าเวลาใดควรที่จะเล่น หรือควรที่จะจริงจัง และก็ยังรู้จักใช้คำพูดที่ดีและเหมาะสมอีกด้วย
จากการที่ได้เป็น MC เป็น DJ ทำให้ยองอุนได้ร่วมงานกับศิลปินในวงการบันเทิงมากมาย เขาจึงได้กลายเป็นที่รักของบรรดารุ่นพี่หลายๆคน รวมถึงเพื่อนๆในรุ่นเดียวกันและรุ่นน้อง ที่ก็ต่างชื่นชอบ และให้ความสนิทสนมกับยองอุน ดังจะเห็นได้จากรายการต่างๆ เขาสามารถทักทายศิลปินต่างค่ายที่มาร่วมรายการได้อย่างสนิทสนม และไม่เคอะเขิน หนำซ้ำที่หลังเวที ก็ยังหยอกล้อกับบุคคลพวกนั้นอีกด้วย

แต่ในด้านการเต้นของเขา ยองอุนค่อนข้างที่จะเต้นได้ดีเป็นอันดับท้ายๆของวง … นั่นอาจจะเพราะ ถ้าหากเขาเต้นเก่งอีกอย่าง พระเจ้าคงจะคิดว่ามันจะทำให้เขาดูมีความสามารถมากจนเกินไป … ในช่วงที่ซิงเกิล U ออกมานั้น ยองอุนได้รับอาการบาดเจ็บที่ขา และทำให้ไม่สามารถเต้นไปพร้อมกับเพื่อนๆได้อย่างเต็มที่ และได้ลมลงในการขึ้นโชว์ในรายการหนึ่ง … มันทำให้เขาได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากผู้ชมอย่างมาก ทั้งบอกว่าเขาไม่มีคุณสมบัติพอที่จะมาอยู่วงเต้น ทั้งเรื่องที่เขาพยายามไม่เต็มที่ หรืออะไรต่ออะไรอีกมากมาย ที่ปรากฏในหน้าอินเตอร์เนต มันทำให้เขารู้สึกท้อแท้และอยากจะร้องไห้ จนได้พูดออกรายการวิทยุที่เขาจัดถึงเรื่องนี้ พร้อมกับขอโทษแฟนๆ ที่ทำให้ต้องผิดหวัง … จากนั้น ยองอุนก็ได้ฝึกฝนตัวเองอย่างหนัก เพื่อให้ทักษะการเต้นของเขาดีขึ้นจากเดิม
ยองอุน ถือเป็นรองหัวหน้าวง ที่คอยดูแลเหล่าสมาชิกในยามที่จองซูไม่ว่าง หรือ ดูแลได้ไม่ทั่วถึง เขาจะมีน้ำใจให้กับเพื่อนๆในวงเสมอ หากใครมีปัญหาอะไร เขาก็มักจะเข้าไปช่วยจัดการความเรียบร้อยให้ในทันที และสิ่งที่เขาทำอยู่ทุกวันก็คือ การสอดส่ายสายตาดูความผิดปกติของเพื่อนๆในวง หากวันใดมีใครสักคนที่แปลกไป เขาจะได้รับรู้มันได้ในทันที … เช่น การแสดงโชว์ในเพลง Full of Happiness บนเวทีแห่งหนึ่ง ที่คิบอมลื่นล้ม .. ในตอนนั้น คิบอมมีปัญหาเรื่องขาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การล้มในครั้งนี้จึงเป็นเหมือนการไปซ้ำที่แผลเก่า และยองอุนก็เห็นมัน แต่เพราะว่าการแสดงจำเป็นต้องแสดงต่อไป และจองซูก็ยังต้องทำหน้าที่หัวหน้าวง ที่จะออกไปพูดอะไรกับแฟนๆ ดังนั้นเมื่อมีโอกาส ยองอุนก็รีบเข้าไปพยุงร่างของคิบอมเอาไว้ทันที
แต่ด้วยนิสัยที่ชอบใช้กำลัง ทำให้สมาชิกค่อนข้างจะขยาดเวลาที่เขาอารมณ์เสีย (ซึ่งอาจจะใช้ไม่ได้ผลกับจงอุน เพราะขนาดโดนด่า โดนตบ ก็ยังจะมาตอแย) แต่ปกติแล้ว ยองอุนจะเป็นคนที่จิตใจดี ขี้สงสาร และคอยยอมให้กับน้องๆเสมอ ในเรื่องที่สามารถยอมได้ เขามักจะตามใจน้องๆ เนื่องจากรู้ดีว่าการทำงานในแต่ละวันค่อนข้างหนัก จึงไม่อยากที่จะกะเกณฑ์ในเรื่องส่วนตัวให้มากนัก แต่ถ้าหากมันเริ่มที่จะหลุดออกนอกกรอบจนเกินไป เขาก็พร้อมที่จะลุกขึ้นมาโหด เพื่อที่จะดึงให้พวกเขาเหล่านั้นกลับมาอยู่ในระเบียบอีกครั้ง
และในอีกด้านหนึ่งของยองอุน เขารักเด็ก รักสัตว์ ขี้สงสาร และสามารถร้องไห้กับเรื่องเล็กๆน้อยๆได้ … เพราะแค่เห็นสัตว์เล็กๆบาดเจ็บ เขาก็สงสารมันจนน้ำตาร่วง หรือแม้แต่การที่แฟนคลับถักเสื้อสเวตเตอร์มาให้ เขาก็ปลาบปลื้มกับมันจนร้องไห้ได้ … นี่แหละยองอุน ผู้มีความขัดแย้งในตัวเอง

ภายนอกของยองอุน อาจจะดูดุ หรือไม่ค่อยเป็นมิตร หนำซ้ำยังน่าเกรงขาม จนทำให้เขาเป็นคนที่ฮันคยองกลัวที่สุด แต่ใครจะไปรู้ ว่าเขากลับต้องแพ้ให้กับซองมินและรยออุคได้ง่ายๆ เพราะแค่เพียงซองมินบ่น มันก็ทำให้ยองอุนนั้นต้องถอยทัพกระเจิดกระเจิง (แต่ด้วยความรำคาญ) ส่วนรยออุคนั้นเขาก็รู้ดี ว่าอย่าไปต่อปากต่อคำกับเด็กคนนี้ให้มากนัก เพราะถ้าหากใครหลวมตัวไปต่อกรกับรยออุค ก็มักจะโดนสวนกลับมาชนิดว่าหน้าหงาย หรือหมอไม่รับเย็บ … แน่นอนว่า เขาไม่ต้องการที่จะเจอกับสภาพแบบนั้น
เพื่อนสนิทของยองอุนนั้นมีอยู่หลายคน ทั้งยุนโฮ (TVXQ) แจจุง (TVXQ) ฮีชอล จองซู รวมไปถึง จงอุน … แม้ว่าเขามักจะทำท่าราวกับว่าไม่ต้องการให้จงอุนมาอยู่ใกล้ๆ และพยายามผลักไสให้ไปให้พ้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว หากวันใดที่เขาไม่เจอหน้าของเพื่อนคนนี้ ไม่ได้หาเรื่องว่า หาเรื่องแกล้ง ชีวิตของเขาก็จะเหมือนขาดอะไรไป และเริ่มที่จะอยู่ไม่สุข เพราะที่เขาทำไปทั้งหมด แม้ว่าจะเป็นการใช้กำลัง มันก็เป็นการแสดงความรักในแบบของเขา เพราะนิสัยของเขากับจงอุนนั้นคล้ายกัน คือ ตั้งแต่เด็กแล้วที่ชอบการต่อสู้และใช้กำลัง ดังนั้นการทักทายของพวกเขาจึงมักจะเป็น การทักทายแบบแรงๆ มากกว่าที่จะออกแนวนุ่มนวล … และทั้งๆที่เขามักจะชอบเล่นมุข และชอบขัด ชอบตัดบทพูด ชอบหาเรื่อง เพื่อนคนนี้ทุกครั้งที่มีโอกาส แต่ถ้าหากให้พูดถึงสมาชิกในซูเปอร์จูเนียร์ เขาจะไม่เคยลืมที่จะพูดถึงเพื่อนคนนี้เลย
และวันนี้ จากอดีตนักกีฬา เขาก็ได้ก้าวเข้ามาเป็นศิลปิน และ MC ที่เจิดจรัสในวงการบันเทิงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อนาคตของเจ้าชายอสูรของเขา ก็กำลังรุ่งโรจน์และงดงาม .. และหวังว่าสักวัน เขาจะได้เป็นเจ้าชายในใจของใครหลายๆคน แทนที่จะเป็นเจ้าชายอสูรของอิทึกเพียงคนเดียว

*****************************************************

ชื่อจริง : Sin Dong Hoe (ซิน ดง ฮี)
ชื่อในวงการ : Shin Dong (ซิน ดง)
วันเกิด : 28 ก.ย.1985
ส่วนสูง : 178 ซ.ม. น้ำหนัก : 90 ก.ก.
ความสามารถพิเศษ : การแสดง, เต้นรำ
เริ่มเข้าสู่วงการบันเทิง : ปี 2005
โดยชนะเลิศสาขา Best gag, Best of the Best
ในการประกวด SM Youngster contest
ผลงานอื่นๆ :
– พิธีกร KMTV Show Music Tank (ก.ย. 2005)
– พิธีกร ‘Sweet Rose Party’ ของดง บัง ชิน กิ (ต.ค. 2005)
– พิธีกร M-Net, KMTV – M!Countdown (พ.ย. 2005)
– ชนะเลิศสาขา Best Dancer ในการประกวด GoYang City Youth
Contest (ก.ค. 2002)
– ชนะเลิศสาขา Best Dancer ในการประกวด GoYang City Youth
Contest (ก.ค. 2003)
– ชนะเลิศ Golden award and Popularity award from M-net
EPPY Competition (ต.ค. 2004)

ดงฮี เป็นเด็กที่รักการเต้น และมักจะชอบทำให้คนอื่นหัวเราะอยู่เสมอๆ เขาชอบที่จะเต้นมาตั้งแต่สมัยประถม เขาได้รวมกลุ่มกับเพื่อนๆ เพื่อที่จะไปเรียนเต้นด้วยกัน แต่ในใจลึกๆ ของเขาส่วนหนึ่งก็คิดว่า อยากจะเป็นนักแสดงตลก

เขาค่อนข้างที่จะเป็นที่รู้จักในบรรดานักเรียนแถบนั้น เพราะชื่อของ ดงฮี นั้นโด่งดังไปถึงโรงเรียนอื่น แต่เขาก็ยังใช้ชีวิตเหมือนเด็กวัยรุ่นชายทั่วไป ที่มีแฟน และใช้ชีวิตธรรมดาๆ

แต่ด้วยความที่ดงฮีนั้นเป็นคนที่มีความพยายามค่อนข้างสูง เมื่อใดที่เขาต้องการอะไรเป็นพิเศษ ก็จะทำงานพิเศษเพื่อหาเงินไปซื้อเอง แม้ว่างานที่เขาทำนั้นจะหนัก และเป็นงานที่ใช้แรงงานจนมือแทบพัง แต่เขาก็ยังทำมันด้วยความมุ่งมัน จนได้เงินมาซื้อโทรศัพท์มือถือด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง

ในวันหนึ่งของช่วงไฮสคูล ปี 1 รุ่นพี่ที่รู้จักการได้ขอให้เขาไปอัดรายการแทน เนื่องจากรุ่นพี่คนนั้นดันไม่สบายในวันที่มีการอัดรายการ ซึ่งรุ่นพี่คนนั้นได้เต้นเป็นแบ็คให้กับศิลปิน จึงได้โทรศัพท์มาไหว้วานให้ชินดงไปทำหน้าที่แทนเขา …ด้วยเหตุนี้ ดงฮีจึงต้องเดินทางไปที่สถานีโทรทัศน์แถวยออึยโอ เพื่อเต้นประกอบเพลงของฮยอนซองบนเวที

หลังจากนั้น ดงฮีก็เริ่มตั้งใจฝึกซ้อมเต้นอย่างจริงจัง พร้อมกับเดินสายเต้นเป็นแดนเซอร์์ตามรายการทีวีต่างๆของทั้งสถานีของเคเบิ้ลทีวี สถานี KBS รวมไปถึง J Station และ ในมิวสิคคาราโอเกะต่างๆ จนกระทั่งในช่วงฤดูร้อนของชั้นไฮสคูลปี 3 เขากับเพื่อนต้องการที่จะหาเงินไปเที่ยวทะเลกัน จึงได้เข้าร่วมแข่งขันเต้น เพราะเพียงแค่ต้องการเงินรางวัลเพื่อไปเที่ยวเท่านั้น

แต่ผลจากการเต้นครั้งนั้นเอง ที่ทำให้เขาได้รับนามบัตรใบหนึ่งมา … มันเขียนไว้ว่า “SM Entertainment”

ดงฮีค่อนข้างที่จะตื่นเต้นกับนามบัตรที่ได้มา เขาคิดว่ามันคือโอกาสที่ดีมาก แต่ก็ยังคงลังเลใจอยู่ แต่ท้ายที่สุด หลังจากที่คิดอยู่นานสองนาน เขาก็ตัดสินใจที่จะไปลองออดิชั่นดู
.. เขาก็ออดิชั่นไม่ผ่านในรอบแรก
ดงฮีกลับมาฝึกซ้อมอย่างหนักอีกครั้ง โดยหวังว่า ออดิชั่นคราวหน้าจะมีรายชื่อของเขาที่ผ่านเข้าไปเป็นศิลปินฝึกหัด
.. แต่การออดิชั่นครั้งที่สอง ก็ยังคงสอบตก
มันทำให้เขากลับมาคิดเป็นอย่างหนัก ว่าในตอนที่ออดิชั่น เขาทำอะไรลงไป? .. ในการออดิชั่นครั้งที่ 3 ครั้งที่เขาคิดว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะมาออดิชั่น และครั้งนี้ ดงฮีได้ตัดสินใจทำทุกอย่างที่เขาสามารถทำได้ ทั้งเต้น ร้องเพลง แสดงมุขตลก รวมถึงการแสดง เขาได้ทำมันอย่างเต็มที่ … ในตอนที่ถึงเวลาประกาศผล เขาหลับตา กำมือแน่นด้วยความกลัว … กลัวว่าจะสอบตกเป็นครั้งที่สาม และชีวิตในเส้นทางนี้ของเขาคงจบลง ณ ตรงนี้ … แต่แล้วก็มีชื่อเขาที่ผ่านการออดิชั่น
ในขณะนั้น ดงฮีอายุ 20 ปีแล้ว … เขาจึงสามารถที่จะทำทุกอย่างด้วยตัวเอง รวมถึงการเซ็นสัญญากับทางบริษัท … เขาไม่เคยบอกที่บ้านเรื่องการไปออดิชั่น และก็ได้โทรกลับไปบอกแม่ ตอนที่ได้เซ็นสัญญาไปแล้ว
แม้ว่าแม่ของเขาจะยังกังวลกับเส้นทางที่ลูกชายคนนี้เลือก แต่ว่าทั้งสองก็ยังมีความเชื่อมั่นในตัวของลูกชาย ทั้งพ่อและแม่ของดงฮีจึงได้ยอมที่จะตามใจเขาได้ไม่ยาก และสนับสนุนที่จะให้เขาเดินตามเส้นทางที่ฝันนั้นต่อไป

ครั้งแรกที่เขาก้าวเข้ามาเป็นศิลปินฝึกหัด ดงฮีค่อนข้างจะประหม่า แม้ว่าเขาจะเข้ากับคนอื่นได้ง่าย แต่ครั้งนี้มันทำให้เขากังวลมาก ด้วยตำแหน่งที่เขาได้มานั้นคือ Best Gag … ไม่ใช่ด้วยการร้องเพลงหรือเต้นเหมือนคนอื่นๆ หนำซ้ำก็ยังมาเป็นคนท้ายๆ ทั้งที่คนอื่นนั้นฝึกหัดด้วยกันมาแล้วเป็นปี สองปี หรือมากกว่านั้น มันจึงทำให้เขาต้องพยายามอย่างมาก เพราะทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นที่ 1 มาจากหลายๆที่ด้วยกันทั้งนั้น
และทางบริษัท ก็ได้มีการทดสอบมากมาย … รวมทั้งการให้แสดงบทบาทสมมติอย่างกระทันหัน … แม้ว่าเขาจะงัดมุขออกมาแสดงสักเท่าไหร่ แต่สุดท้าย มันก็กลายเป็นความน่าเบื่อสำหรับตัวเขา เพราะในแต่ละวันก็มีแค่การฝึก การฝึก และการฝึก
ดงฮีฝึกหนักมาก หลายต่อหลายครั้งที่เขาโต้รุ่งจนกระทั่งเช้า และไปหลับเอาบนรถไฟ … แล้วก็นอนอยู่บนนั้นจนกระทั่งรถวนกลับมาที่เดิมรอบแล้ว รอบเล่า
และในที่สุด ดงฮีก็ได้เดบิวต์ในฐานะศิลปินวงซูเปอร์จูเนียร์ร่วมกับเพื่อนๆ และเขาจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนชื่อ มาเป็น ชินดง เนื่องจาก ชื่อ ดงฮี ของเขานั้นดันไปคล้ายกับเพื่อนอีกคนในวง ซึ่งก็คือ ดงแฮ … และนั่นมันอาจจะทำให้เกิดความสับสนได้ ถ้าหากมีชื่อสมาชิกในวงเขียนและออกเสียงต่างกันแค่เพียงเล็กน้อยแบบนั้น
ในการฟอร์มวง ดงฮีได้ช่วยอะไรหลายๆอย่างอย่างมากมาย เนื่องจากเพราะเขาเคยเป็นแดนเซอร์มาก่อน และเพราะคุ้นเคยกับการเต้นมานาน จึงช่วยคิดท่าเต้นให้กับวง และในการแสดงแต่ละครั้งของพวกเขา ท่าเต้นที่พวกเขาเต้นบนเวทีนั้น ส่วนหนึ่งก็มาจากหัวคิดของดงฮีผู้นี้นั่นเอง
ในวันที่มีกำหนดเปิดตัววง ซูเปอร์จูเนียร์ ซีวอนได้มาบอกกับเขาถึงเรื่องรูปที่ถ่ายออกไปนั้นได้เผยแพร่ไปทางอินเตอร์เน็ตแล้ว วันนั้นเขาจึงรีบกลับไปเพื่อดูรูปเหล่านั้นด้วยความดีใจและตื่นเต้น … แต่ผลมันกลับไม่เป็นดังที่คาดไว้
หลากความคิดเห็นที่มีต่อเขานั้นช่างทำร้ายจิตใจของดงฮีสิ้นดี แทบจะทุกคนให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ภายนอก มากมายที่วิจารณ์เรื่องหน้าตา รูปร่าง ของเขา จากที่ไม่เคยหวั่นไหวต่อคำพูดของคนอื่นง่ายๆ แต่วันนั้นมันทำให้เขารู้สึกแย่และเจ็บปวดมากจนไม่อยากที่จะเปิดอินเตอร์เน็ตอีกเลยด้วยซ้ำไป และจากวันนั้นเอง ที่เขาพยายามอย่างสุดความสามารถ ที่จะทำให้ผู้ชมยอมรับเขา และลบคำสบประมาทที่มีมาออกไป …เขากลายเป็นดงฮีที่ชอบเต้น รักที่จะสร้างเสียงหัวเราะให้คนรอบข้าง และยังไม่ลืมความใฝ่ฝันที่จะเป็นนักแสดงตลก
ความสามารถของเขา ใช่มีแค่นี้ เพราะหลังจากที่คลุกคลีอยู่กับเพื่อนๆแล้ว เขาก็พบว่า ตัวเอง อึนฮยอก และฮีชอลนั้นมีความสามารถที่คล้ายๆกัน นั่นคือการแร็พ จึงได้ช่วยกันลองเขียนท่อนแร็พขึ้นมา และมันก็ถูกนำไปใช้ในเพลงต่างๆ เริ่มตั้งแต่ Show me your love จนกระทั่งมาถึงเพลงในอัลบัมต่อๆมา
แต่ในความเฮฮาร่าเริงของดงฮี เขาเป็นคนที่ค่อนข้างเก็บความรู้สึก เพราะเขาไม่อยากให้คนรอบข้างต้องเป็นทุกข์เพราะเขา เขารักทุกๆคน และหวังดีกับทุกๆคนด้วยใจจริง ดังนั้น เมื่อใดที่เขามีปัญหา ก็มักจะยิ้มอยู่เสมอๆ และพยายามทำตัวเฮฮา และหาเรื่องตลกมากลบเกลื่อน เขารักแฟนเพลง และมักจะเป็นคนแรกที่มองเห็นแฟนเพลงเสมอ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม … ทั้งๆที่ง่วง ทั้งๆที่สมาชิกคนอื่นๆแทบหมดเรี่ยวแรง และไม่มีใครสักคนที่มีอารมณ์จะลุกมาหยอกล้อกับแฟนเพลงที่ตามไปดูพวกเขา แต่จะไม่มีเหตุการณ์นั้นกับดงฮี เพราะสายตาของเขาจะสอดส่ายไปยังแฟนคลับเสมอ และเพราะจะยิ้มทักทายทุกครั้งที่มีคนยิ้มให้เขามา แม้ว่าร่างกายเขาจะอ่อนล้าก็ตาม

แม้ว่าในแต่ละวัน จะดูเหมือนว่าเขาเอาแต่ทำตัวบ้าๆ บอๆ และเล่นไปวันๆ แต่อันที่จริงแล้ว เขาใส่ใจ และห่วงใยเพื่อนๆในวงทุกคน เขาสามารถเข้ากับคนได้ง่าย และนั่นเอง ที่ทำให้เขาค่อนข้างจะสนิทกับทุกๆคนในวง …ในคืนที่เกิดอุบัติเหตุ ดงฮีบาดเจ็บน้อยที่สุด เขาเป็นคนแรกที่พยายามจะช่วยเพื่อนๆออกมาจากซากรถ เมื่อมีคนมาช่วย เขาก็จะลุกเดินไปหาเพื่อนๆทุกคน แล้วกุมมือเอาไว้ พร้อมกับให้กำลังใจ … คล้ายกับว่าเขาไม่เป็นอะไร และมีสติดี
แต่ในความเป็นจริง สภาพจิตใจของดงฮีในตอนนั้นย่ำแย่เกินจะบรรยาย เขารับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น รุ้สึกเจ็บปวดเมื่อได้เห็นสภาพของเพื่อนที่นอนหมดสภาพอยู่ข้างทาง สิ่งที่เขาเห็นก็คือ ภาพรถที่พังยับเยิน ร่างของคยูฮยอนที่แน่นิ่ง อิทึกที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และฮยอกแจที่เดินกะเผลกๆ … เขาไม่เคยคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์นี้กับพวกเขาเอง
ในวันรุ่งขึ้น หลังจากที่ออกจากโรงพยาบาล ดงฮีฟุ้งซ่านเกินที่จะทนอยู่ในสภาพที่ปกติได้ เขาตัดสินใจเดินทางออกจากโซล เพื่อหนีปัญหา เพื่อที่จะหาที่เงียบๆอยู่คนเดียว และได้ใช้ชีวิตอยู่ตามลำพัง เขาไม่ต้องการที่จะรับรู้อะไรทั้งนั้น …เขากลัว กลัวว่าจะได้รับข่าวร้าย เขาทนไม่ได้ ที่จะให้คนที่เขารักต้องเจ็บปวด … ในยามที่ดงฮีมีปัญหา สิ่งที่เขามักจะทำก็คือ การไประบายกับพี่ชายของตัวเอง
แต่ในที่สุด ดงฮีก็ได้เดินทางกลับ เพราะยังมีอีกหลายเรื่องราวที่เขาต้องรับผิดชอบต่อ … เขากัดฟันเพื่อที่จะเดินกลับเข้ามาพบเพื่อนๆ กลับมาพบแววตาที่ปวดร้าวเช่นเดียวกับเขา … มันช่างแสนทรมาน
ในวันนี้ … ชีวิตในเส้นทางบันเทิงของเขาก็ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ดงฮี หรือชินดง ได้รับการแสดงละครตามที่เคยวาดหวังเอาไว้ และยังมีโอกาสได้มีผลงานเดี่ยวของตัวเอง เขายังต้องไล่ตามความฝันต่อไป เพื่อพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็น ว่าเราไม่ควรตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอกแค่เพียงอย่างเดียว

*****************************************************

ชื่อจริง : Lee Sung Min (อี ซอง มิน)
ชื่อในวงการ : Sung Min (ซอง มิน )
วันเกิด : 1 ม.ค.1986
ส่วนสูง : 175 ซ.ม. น้ำหนัก : 57 ก.ก.
งานอดิเรก : ดูหนัง, เล่นดนตรี
ความสามารถพิเศษ : ศิลปะป้องกันตัวแบบจีน, การแสดง
เริ่มเข้าสู่วงการบันเทิง : ปี 2001
โดยชนะเลิศสาขา Most handsome
ในการประกวด SM Youngster contest
ผลงานละคร :
– MBC ‘Sea of Sisters’ (ส.ค. 2005)
– KBS ‘A boy from a charnel house’ (ก.ย. 2005)
ผลงานอื่นๆ : พิธีกรคู่กับ ดง แฮ ในรายการของ KMTV

ในชีวิตวัยเด็กของซองมิน เขามักจะใช้เวลาอยู่กับที่บ้านและแม่ เนื่องจากเขาเป็นลูกชายคนโต จึงมักถูกเรียกไปเป็นลูกมือในการทำอาหารเสมอๆ เพราะแม่ของเขาเป็นแม่ค้า และขายอาหารในตอนนั้น

ตอนเด็กๆ ซองมินค่อนข้างเป็นคนเงียบ มักจะอยู่เงียบๆคนเดียว ราวกับในห้องเรียนนั้นไม่มีเขาอยู่ หนำซ้ำก็ยังขี้อายและไม่กล้าแสดงออกอีก แต่เมื่อเข้าชั้น ม.1 ขณะที่เขานั่งดูรายการบันเทิงอยู่นั้น ความฝันที่จะเป็นดาราก็เริ่มก่อตัวขึ้นในใจของซองมิน หลังจากนั้น เขาจึงพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเอง จากที่ทำตัวเหมือนเป็นอากาศ ก็เริ่มที่จะทำตัวสดใส ร่าเริง เพื่อให้เข้ากับคนอื่นๆได้ แม้ในช่วงแรกมันจะยังรู้สึกขัดๆกับนิสัยที่เคยเป็นมาอยู่บ้าง แต่เขาก็ได้พยายามที่จะทำมันอย่างเต็มที่ แม้จะดีกว่าเดิมแค่เพียงเล็กน้อยก็เถอะ

เมื่ออยู่ชั้น ม.2 เขาเริ่มหัดเต้นเบรคแดนส์และหัดร้องเพลงอย่างเอาจริงเอาจัง จนกระทั่งในช่วงวันหยุดฤดูหนาวของชั้น ม.3 ซองมินก็ได้เตรียมตัวอย่างจริงจังเพื่อออดิชั่นในครั้งแรก แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อในทีมเต้นที่เขาร่วมวงอยู่ด้วยนั้นมีคนถอนตัว และทีมต้องขึ้นโชว์ในวันเดียวกับที่เขาต้องไปออดิชั่น ซองมินจึงชั่งใจอยู่นานสองนาน และตัดสินใจที่จะไปร่วมเต้นให้กับทีมในที่สุด

และในวันนั้นเอง เขาก็ได้รับนามบัตรจากแมวมองของ SM Entertainment มาอย่างไม่คาดคิด ในงานที่เขาไปร่วมแสดงกับเพื่อนนั่นเอง และหลังจากนั้น เขาก็ได้เข้าร่วมออดิชั่นกับทางค่าย จนได้มาเป็นศิลปินฝึกหัด และแม้ว่าเขาจะเคยร่วมทีมเต้นกับเพื่อนๆ แต่พอมาเจอฮยอกแจ และได้เห็นเขาเต้นในครั้งแรก มันก็ทำให้ซองมินถึงกับอึ้ง … เพราะเมื่อเทียบกันแล้ว การเต้นที่เขาเคยมั่นใจ มันกลายเป็น “ไม่ได้เรื่อง” ไปในทันที ดังนั้น ซองมินจึงพยายามที่จะเต้นให้เก่งอย่างฮยอกแจให้ได้
แต่สิ่งที่หนักหนาสาหัสสำหรับเขาก็มาเยือน เพราะบุคลิกที่ชอบก้มหน้าก้มตา เก็บตัว แถมยังมีบุคลิกที่ค่อนข้างแย่ จึงถูกเรียกไปตักเตือนหลายต่อหลายครั้ง ในกรณีที่เขาไม่สามารถเข้ากับเพื่อนๆได้ และก็ยังปรับตัวไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนบุคลิกของตัวเองเพื่อที่จะเป็นนักร้อง ซองมินมักถูกเรียกให้ออกไปร้องเพลงต่อหน้าบรรดารุ่นอยู่อยู่หลายๆต่อหลายครั้ง เพื่อที่จะให้เขาได้ฝึกความกล้า และเริ่มที่จะชินกับการอยู่ต่อหน้าผู้คนมากมาย
เขาจึงมักที่จะบอกตัวเองอยู่เสมอ ว่า “เรื่องที่ทำไม่ได้ ก็ต้องทำจนกว่ามันจะทำได้”

ในทุกๆวัน ซองมินมักจะเลิกซ้อมราวห้าทุ่ม และกลับบ้านทางเดียวกันกับฮยอกแจ จุนซู และจองซู หลายต่อหลายครั้งที่เขาเหนื่อยจนเผลอหลับไปบนรถเมล์ และนั่งเลยป้ายอยู่บ่อยๆ ทำให้ต้องนั่งรถเมล์สายเดิมซ้ำไปซ้ำมาแบบนั้น
ระยะเวลาการฝึกอันยาวนานนั้นค่อยๆผ่านไปเรื่อยๆ หลายครั้งที่น้องชายอย่างจุนซูถามว่า “เราฝึกกันหนักแบบนี้ แล้วเราจะได้เดบิวต์เร็วๆใช่มั๊ยฮะ” … เขาไม่รู้จะตอบเช่นไร นอกจากพยักหน้าแล้วยิ้มให้ เพราะว่าตัวของเขาเองก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน ว่าเขาจะได้เดบิวต์หรือเปล่า หรือว่าจะเป็นการฝึกฝนอย่างไร้จุดหมายเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ

แต่แล้วก็เหมือนมีแสงไฟริบหรี่ให้เห็นอยู่ที่ปลายทางที่มืดมิด เมื่อพวกเขาได้ถูกจับมารวมกลุ่มกัน โดยประกอบด้วยสมาชิกสามคนคือ ซองมิน จุนซู และฮยอกแจ โดยจะเป็นกลุ่มแนว R&B ที่ใช้ชื่อว่า “Danaeb” แต่แล้วก็ถูกยกเลิกไปในที่สุด เมื่อจุนซูมีปัญหาด้านเสียง ที่มันแตกมากเสียจนไม่สามารถร้องเพลงได้ไปในช่วงหนึ่ง
ซองมินจึงกลับมาใช้ชีวิตเป็นเด็กฝึกหัดที่ไร้สังกัด ไร้กลุ่มอีกครั้งหนึ่ง จนกระทั่งเวลาผ่านไป จนเขาอยู่ในชั้น ปี 2 ของไฮสคูล อาจจะเพราะการซ้อมที่หนักมาก ทำให้ซองมินที่เคยตั้งใจเรียนนั้นไม่มีเวลาที่จะทบทวนตำราเรียนเหมือนเก่า เกรดของเขาจึงร่วงลงแทบทุกวิชา สร้างความกังวลให้กับพ่อและแม่เป็นอย่างมาก ซึ่งแม้แต่ตัวเขาเองก็กังวลกับเรื่องเรียนต่ออยู่ไม่น้อยเช่นกัน
เมื่อขึ้นชั้น ปี 3 ปัญหาเรื่องการเข้าเรียนต่อในระดับชั้นมหาวิทยาลัยของซองมินก็เข้ามารุมเร้าจนชีวิตเขานั้นขาดความสุข เกิดเป็นสงครามประสาทกับทั้งพ่อและแม่ จากที่เคยเป็นเด็กพูดน้อย เก็บตัว และพยายามที่จะทำตัวร่าเริงเพื่อเปลี่ยนบุคลิกมาแล้วรอบหนึ่ง ทำให้ซองมินเริ่มที่จะกลับเข้าสู่ภาวะเก็บกดและเคร่งเครียดอีกครั้ง เพราะปัญหาและความกดดันที่เกิดขึ้น
และเมื่อกำหนดที่จะได้เดบิวต์นั้นเลื่นออกไป ความคิดที่มีก็ยิ่งสะสมมากขึ้น จนสุดท้าย เขาก็หมดความอดทนกับปัญหารอบตัวที่รุมเร้า โดยทิ้งทุกอย่าง และไม่ยอมไปซ้อมอยู่หลายสัปดาห์

สิ่งที่ซองมินกลัวก็คือ การทำให้พ่อและแม่ผิดหวัง แต่ที่มากไปกว่านั้นก็คือ ความผิดหวังในตัวเอง ด้วยความที่เป็นลูกคนโต เขาจึงเปรียบเป็นความหวังของพ่อและแม่ ที่ต้องแบกรับภาระว่าที่หัวหน้าครอบครัวเอาไว้ หนำซ้ำยังต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับน้องๆอีกด้วย และเมื่อเขาได้คิดทบทวนกับสิ่งที่ผ่านๆมา มันทำให้เขานึกถึงคำพูดที่ว่า “คนที่ผ่านความยากลำบากมามาก จึงจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ” … เขาจึงหยุดที่จะหนีปัญหา และกลับมาฝึกซ้อมอย่างหนักอีกครั้งหนึ่ง
การเรียนของซองมินที่เคยแย่ ก็เริ่มดีขึ้น และในที่สุดเขาก็สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ สร้างความภาคภูมิใจให้กับพ่อและแม่มากมาย และดูเหมือนทั้งคู่จะดีใจมากกว่าตัวเขาหลายเท่านัก ภาพที่พ่อกับแม่ดีใจจนโทรบอกเพื่อนๆในเรื่องที่เขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ยังคงติดตรึงในใจของเขาจนถึงทุกวันนี้ จากนั้น ซองมินจึงขยันและตั้งใจเรียนให้มากขึ้น ไม่ได้สนใจแค่เพียงการซ้อมอย่างที่ผ่านๆมา เขาเข้าเรียนทุกคาบวิชาไม่เคยขาด และเตรียมพร้อมเสมอสำหรับการสอบ จนได้รับรางวัลด้านการเรียนเมื่อผลการสอบเทอมแรกออกมา
และในที่สุด วันที่พวกเขารอคอยก็มาถึง หลังจากที่ได้เห็นภาพของเพื่อนร่วมฝึกหัดมาด้วยกัน และน้องชายที่สนิทด้วย อย่างจุนซู ได้เดบิวต์ในนาม TVXQ ไปก่อนหน้าแล้ว …เมื่อเขาได้ข่าวการเดบิวต์ของตัวเอง ว่าได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในสมาชิกบอยแบนด์กลุ่มใหม่ของ SM ก็ตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก จนต้องถามคังอินซ้ำหลายๆรอบ เพื่อให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้ฝันไป

แต่ก่อนที่จะได้เดบิวต์ เขาจำเป็นจะต้องลดน้ำหนักที่ค่อนข้างมากเกินความจำเป็นออกถึง 10 กิโล ดังนั้น ในแต่ละวัน เขาจึงควบคุมอาหารของตัวเอง โดยทานแต่เดนจังชีเก (แกงเต้าหู้) …และไดเอทอย่างเอาเป็นเอาตาย เพราะมันคือด่านสุดท้าย ก่อนที่จะถึงจุดหมายที่เขารอคอยมานานแสนนาน
ในหนึ่งวัน เขาจะออกวิ่ง 1 ชั่วโมง อาหารทั้งสามมื้อนั้นเป็นเดนจังชีเกกับข้าวครึ่งถ้วย … รสชาติมันช่างจืดชืด และยังคงติดลิ้น ยากที่จะลืม
และในที่สุด วันที่เขารอคอยมานานแสนนานก็มาถึง ซองมินจึงพยายามอย่างหนัก เพื่อที่จะยืนอยู่บนเวทีได้โดยที่ไม่ประหม่า จากเด็กหนุ่มที่เคยทำตัวเหมือนท่อนไม้ ที่ไร้ตัวตน เขาพยายามเป็นอย่างมากที่จะแสดงออก และทำให้ผู้คนหันมาสนใจเขา … พยายามอยู่อย่างนั้น ในช่วงแรก มันอาจจะฝืนอยู่บ้าง ที่ต้องมาทำตัวโอเว่อร์แอ็คติ้ง ทั้งๆที่นิสัยจริงๆของเขามันไม่ใช่ … แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็รู้สึกสนุกกับมัน และมันก็ติดเป็นนิสัยของเขาไปเสียแล้ว ที่เมื่อเจอแฟนคลับผู้หญิง เขาจะต้องทำตัวน่ารักโดยอัตโนมัติ
ซองมินกลายเป็นคนที่มีสองบุคลิกในตัวเอง และบางที เขาเองก็ยังนึกสับสนกับตัวเองอยู่ ว่าทุกวันนี้ นิสัยที่แท้จริงของเขานั้นคืออะไร แต่ด้วยภาพลักษณ์ที่ออกมานั้นดูเป็นเด็กที่น่ารักในสายตาแฟนๆ เขาจึงรู้สึกว่า เขาควรจะน่ารักเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ …และเกิดความรู้สึกว่า “ไม่อยากโต ไม่อยากแก่” …เมื่อก่อน ซองมินค่อนข้างจะเคร่งเรื่องอาวุโสอยู่มาก รุ่นน้องทุกคนจะต้องเรียกเขาว่าพี่ …แต่ปัจจุบันกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะแค่เพียงซีวอนหลุดปากพูดว่า “พี่ซองมิน” เขาก็จะหันไปจ้องตาแทบถลนโดยทันที … เขายังอยากเป็นเด็กน้อยน่ารักในสายตาแฟนๆ
แต่สำหรับแฟนคลับสาวๆ ที่อายุมากกว่าเขา เขาจะตามใจพวกเธอมาก หากใครที่อายุมากกว่า แต่ถ้ามันจะมีความสุขหากเธอได้เรียกเขาว่า Oppa …ซองมินก็ยินยอมที่จะเป็นให้กับเธอ

และในเวลาว่าง หากอยู่ที่อพาร์ตเม้น หน้าที่ประจำของเขาก็มักจะเป็น พ่อครัวประจำบ้าน เนื่องจากในหอพักนั้น (คนละหอกับฮันคยอง) มีเพียงเขาที่ทำอาหารได้อร่อยที่สุด จึงมักจะเป็นคนคอยทำอาหารให้คนอื่นๆรับประทาน และในหลายๆครั้ง ก็มักจะหาเมนูใหม่ๆมาลองทำ ซึ่งโดยส่วนมากก็คงจะหนีไม่พ้น อาหารจำพวก ฟักทอง … และเหยื่อประจำที่จะโดนเป็นหนูทดลองก็คือ ชินดง
นิสัยของซองมินนั้น ค่อนข้างจะขี้จุกจิก และขี้บ่น เนื่องจากเขาคลุกคลีอยู่กับแม่มาก จึงติดนิสัยของผู้หญิงมา …และนิสัยพวกนี้นี่เอง ที่สามารถทำให้จอมโหดของวงอย่างคังอินนั้นขยาดได้ เพราะคังอินสามารถต่อกลอนได้กับทุกคน เว้นแค่เพียงซองมิน ที่เขาจะพยายามหลีกหนีให้ไกลที่สุด
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่จงอุน (เยซอง) กับรยออุค นั้นหยอกกันเล่น โดยวิ่งไล่กันไปบนที่นอนของสมาชิกทุกคน แต่ความซวยก็บังเกิดขึ้น เมื่อเตียงนั้นดันหักลง และเป็นเตียงของซองมินพอดี … คำแรกที่คังอินพูดก็คือ “หักที่เตียงใครไม่หัก ..พวกนายสองคนอยู่รับกรรมไปก็แล้วกัน ชั้นเผ่นก่อนล่ะ” … และก็เป็นไปตามคาด ทั้งรยออุคและเยซองถูกบ่นกันเสียจนหูชา และอีกคนที่เคยเจอมากับตัวก็คือชินดง ที่เผลอไปแกล้งซองมินเข้า และเขาก็ไม่พอใจ จึงกลายเป็นว่า วันนั้นทั้งวันที่ชินดงโดนซองมินบ่น และต่อให้เขาเดินหนี ซองมินก็ยังคงเดินตามเพื่อที่จะบ่น ทำเอาเจ้าหมูน้อยถึงกับประสาทกินเลยทีเดียว
และด้วยความที่เขาชอบสีชมพูมาก เมื่อมีแฟนคลับนำของมาให้ สมาชิกทุกคนก็มักจะนำของมากองรวมกัน เพื่อที่จะแยกว่าของใครเป็นของใคร แต่ถ้าหากมีของชิ้นใดที่สีชมพู ซองมินจะรีบคว้ามาหอบเอาไว้ในทันที โดยไม่สนว่าจะเป็นของชนิดไหน หรือว่าเป็นของใคร และเพื่อนๆในวงก็รู้ดี ว่าสีชมพูนั้นจะต้องยกให้กับซองมินเพียงผู้เดียว
ซองมินค่อนข้างจะขี้น้อยใจ และหวั่นไหวง่ายกับเรื่องราวที่เกี่ยวกับแฟนคลับ เขาจึงมักจะถูกเพื่อนๆแกล้งล้ออยู่เสมอ ว่า “ระวังแฟนๆไม่รัก” … และมันจะกระทบต่อสภาพจิตใจของเขาได้อย่างรวดเร็ว เพราะถ้าหากโดนอำหรือโดนล้อเรื่องนี้หนักๆเข้า น้ำตาก็พาลจะไหลเอาง่ายๆ
เมื่อมีเวลาว่างจากงาน ซองมินจะรีบกลับบ้านทุกครั้ง เพราะบ้านของเขานั้นอยู่ห่างจากที่พักไม่มาก และสามารถไปกลับได้ในเวลาอันสั้น นอกจากนี้ สิ่งที่เขาชื่นชอบมาก นอกจากการทำอาหารและศิลปะการต่อสู้แบบจีน ก็คือ การถ่ายรูป โดยจะมีกล้องส่วนตัวที่มักจะพกไปไหนมาไหนด้วยตลอด และคอยเก็บภาพประทับใจจากที่ต่างๆเอาไว้ รวมถึงภาพแฟนคลับในแต่ละที่ที่เขาไปด้วย
แม้ว่าเมื่อก่อน กระต่ายน้อย จะเป็นเช่นไร … แต่สิ่งที่เขาพยายามก็ได้ประสบความสำเร็จแล้ว การพยายามปรับเปลี่ยนบุคลิกของตัวเองไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เขาก็พยายามจนสำเร็จ หลายๆคนอาจจะเคยเห็นซองมินในเวลาที่เคร่งขรึม ไร้รอยยิ้ม และเหม่อลอย .. นั่นคืออีกหนึ่งตัวตนที่แท้จริง เป็นนิสัยที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็กของเขา แต่ในเวลาที่เขายิ้ม เขาร่าเริง และทำตัวน่ารักๆ เขาก็ไม่ได้เสแสร้งเช่นกัน
ในเมื่อเขาพยายามจะน่ารัก เพื่อให้พวกเราได้รัก … ดังนั้น ก็ควรรักเขาให้มากๆ … กระต่ายน้อยสีชมพู

*****************************************************

ชื่อจริง : Lee Hyuk Jae(อี ฮยอก แจ)
ชื่อในวงการ : Eun Hyuk (อึน ฮยอก)
วันเกิด : 4 เม.ย.1986
ส่วนสูง : 176 ซ.ม. น้ำหนัก : 58 ก.ก.
งานอดิเรก : ฟังเพลง, ออกกำลังกาย
ความสามารถพิเศษ : การเต้นแบบต่างๆ
เริ่มเข้าสู่วงการบันเทิง : ปี 2000
โดย Starlight Casting System
ผลงานด้านอื่นๆ : – ชนะเลิศ Goyang City Youth Dance competition
(2000)
– SBS ‘Saturday is Coming’ showdown of the century (มี.ค. 2002)
– MBC ‘In Saturday Night’ ChuGyukNamYoe (ส.ค. 2005)

ในช่วงอายุ 10-11 ปี เขาได้รู้ถึงความต้องการของตัวเองแล้ว ว่าเขาอยากจะเป็นศิลปิน!!!

ฮยอกแจ คือ ชื่อจริงของเขาคนนี้ หนุ่มน้อยขี้เล่นและร่าเริงของซูเปอร์จูเนียร์ ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นเพชรเม็ดงามของวง เขาก็คือ อึนอยอก หนุ่มแดนซ์ ขาแร็พอีกคนของวงนั้นเอง

เพราะตั้งแต่เด็กๆแล้ว ที่ฮยอกแจนั้นชอบการแสดง และก็เริ่มหัดเต้น เขา เริ่มที่จะหัดเต้นตั้งแต่อยู่ชั้นประถมปีที่ 3 เขาชื่นชอบที่จะกางแขนกางขาไปตามจังหวะ เขารู้แค่เพียงว่า เขาชอบที่จะทำแบบนั้น แม้ว่าในทุกๆวันเขาจะต้องเจ็บตัว เนื่องจากไม่มีพื้นฐานในการเต้น หนำซ้ำก็ยังมีอีกหลายต่อหลายครั้งที่ต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะการเต้น แต่นั่นมันก็ไม่ได้ทำให้ความพยายามของเขานั้นลดลงเลย

เขาพยายามที่จะหัดเต้นแบบนั้นอยู่ถึงสองปี จนกระทั่งวันหนึ่ง มีการแข่งขันฟุตบอลกับห้องเรียนข้างๆ ในช่วงที่อยู่ชั้นประถมปีที่ 5 วันนั้นเอง ที่เขาได้พบกับเด็กผู้ชายที่ใส่กางเกงสีดำที่ดึงขึ้นสูง สวมเสื้อลายมิกกี้เม้าส์สีแดง และเตะบอลได้ยอดแย่ที่สุด ความประทับใจแรกที่พบกันก็คือ ภาพที่เด็กคนนั้นกำลังตกจากชิงช้า… และเด็กคนนั้น มีชื่อว่า จุนซู (TVXQ) เพื่อนของเขาเล่าเรื่องจุนซูให้ฟัง ว่าชอบเต้นเหมือนๆกับเขา และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทั้งคู่กลายมาเป็นเพื่อนสนิทที่สนใจในการเต้นและฟุตบอลเหมือนๆกัน

ฮยอกและจุนซูนั้นเรียนคนละห้องในชั้นประถม แต่ก็เป็นห้องที่ติดกัน … และนั้นมันก็ทำให้ทั้งคู่เริ่มที่จะฝึกซ้อมทักษะด้านการเต้นให้มากขึ้น และพวกเขาก็ได้รวมกลุ่มกับเพื่อนอีกสองคน ฝึกร้องเพลงและเต้นตามเพลงของวง H.O.T เรื่อยมา

จนกระทั่งวันหนึ่ง แม่ของฮยอกแจได้เรียกเขาไปคุยในเรื่องการเรียน เพราะเกรดของเขานั้นแย่ลง แต่เมื่อเขาบอกออกไปว่าเขาต้องการที่จะเป็นนักร้อง แน่นอนว่าถูกแม่ดุกลับมาเสียจนหน้าซีด เพราะสิ่งที่แม่ของเขาต้องการก็คือ การเห็นลูกชายเพียงคนเดียวตั้งใจเรียน และนำเกรดสวยๆกลับมาฝากที่บ้านในช่วงปลายเทอม
แต่ดูเหมือนสิ่งที่แม่ของเขาบอกจะไม่เป็นผล เพราะตั้งแต่เริ่มฝึกซ้อม คะแนนของฮยอกแจก็เริ่มที่จะดิ่งลงเหว จนเกือบจะลงไปนรก เป็นเรื่องถึงกรรมการนักเรียน ที่ต้องเชิญผู้ปกครองมาพบ และครั้งนี้ ทั้งพ่อและแม่ของเขาก็ขอร้องให้เขาหันกลับมาสนในการเรียนให้มากขึ้น และล้มเลิกความตั้งใจที่จะเป็นนักร้องเสียที … แต่บังเอิญที่คติประจำใจของเขาคือ ถ้าทำไม่ได้ ก็ต้องทำให้จนได้ … แน่นอนว่า เขาไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจที่มีมาตั้งแต่แรกลงง่ายๆ
ในช่วงที่ยังเรียนมัธยมอยู่นั้น ทั้งฮยอกแจและจุนซูได้ขึ้นเวทีประกวดด้วยกันอยู่หลายต่อหลายครั้ง ทั้งคู่เป็นเด็กกิจกรรมตัวยงของโรงเรียน แทบทุกครั้งที่มีงาน พวกเขาก็มักจะขึ้นไปปรากฏกายอยู่บนเวทีเสมอๆ
จนกระทั่งในวันที่มีการแสดงมาถึง เขาและจุนซูต่างก็ขึ้นเวทีด้วยกันในฐานะเพื่อนร่วมวง ในวันนั้นเอง ที่แม่ได้มาร่วมงานและดูการแสดงของเขา …จากตอนแรกที่แค่ตื่นเต้น เมื่อเห็นว่าแม่มาดูด้วย ฮยอกแจก็ถึงกับสั่น แต่เขาก็ทำมันออกมาได้ดี และในวันนั้นเอง ที่ฮยอกแจได้เปลี่ยนความคิดของแม่ที่เคยคัดค้านเขา ให้กลายมาเป็นแฟนคลับคนแรกของเขาได้

ในช่วง มัธยมต้น ฮยอกแจและจุนซูได้มาเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนเดียวกัน มันทำให้เขาทั้งคู่สนิทกันมากขึ้น และด้วยความฝันที่เหมือนกัน ในวันหนึ่ง จุนซูก็เดินเข้ามาบอกว่า เขาจะไปออดิชั่น ในปีนั้นเอง ฮยอกแจและจุนซูได้เข้าออดิชั่นพร้อมกัน แต่มีเพียงจุนซูเท่านั้นที่ผ่านการออดิชั่นไปก่อน มันทำให้จุนซูรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าใดนัก เพราะเขาคิดว่าเขาทิ้งฮยอกแจ แต่ฮยอกแจกลับไม่คิดเช่นนั้น เขาได้กลับมาฝึกหัดตัวเองอีกครั้ง และได้ผ่านการออดิชั่นตามจุนซูไปเป็นศิลปินฝึกหัดในปีต่อมา
พวกเขาได้ฝึกซ้อมกันที่ห้องใต้ดินของบริษัท ในช่วงนั้นก็มียุนโฮ (TVXQ) ซองมิน ดงแฮ จุนซู จองซู และเขา ที่สนิทกัน เพราะต้องซ้อมด้วยกันหลังเลิกเรียนไปจนดึกทุกวัน แต่ด้วยความซนของเด็กหนุ่มวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ พวกเขาก็ได้สร้างวีรกรรมและความวุ่นวายเอาไว้มากมาย และก็โดนดุไปอีกหลายครั้ง นั่นคือความทรงจำดีๆ ในระหว่างการเป็นศิลปินฝึกหัด
เมื่ออยู่ที่โรงเรียน ฮยอกแจได้ยินคำพูดวิจารณ์เขาต่างๆนานา เพราะส่วนมากคนในโรงเรียนนั้นไม่มีใครคิดว่าเขาจะสามารถเป็นนักร้องได้ หลากคำพูดที่ทำร้ายจิตใจ ได้สร้างบาดแผลมากมายให้กับเขา แม้ว่าจะทำเป็นไม่ได้ยิน แต่ทุกคำที่ออกมาจากปากคนรอบข้าง มันดังก้องไปในหัวของเขา …ฮยอกแจจึงตั้งใจเอาไว้ ว่าเขาจะต้องเป็นนักร้องที่ยอดเยี่ยมให้ได้ จึงพยายามฝึกซ้อมให้หนักขึ้นในแต่ละวัน เป็นเช่นนั้นเรื่อยมา
ในระหว่างการเป็นศิลปินฝึกหัด ฮยอกแจและจุนซูได้ขอร้องทางผู้ใหญ่เพื่อให้เขาได้ร่วมวงเดียวกัน และด้วยมิตรภาพของทั้งคู่นี้เอง ที่ทำให้ผู้จัดการใจอ่อน และยอมให้เขาทั้งคู่ รวมไปถึงซองมิน ตั้งกลุ่มขึ้นมา เป็นโปรเจ็ควง R & B ชื่อว่า “Danaeb” และด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ความสัมพันธ์ของฮยอกแจและซองมินนั้นแ่น่นแฟ้นขึ้น ฮยอกแจค่อนข้างเป็นห่วงซองมินมาก เพราะซองมินเป็นคนแรกๆ ที่เขาได้พบในช่วงที่เข้าบริษัทมาใหม่ๆ ในหลายๆ ครั้งหลังจากที่ฝึกซ้อมเสร็จ เขาจะต้องนั่งรถเมล์ไปส่งซองมินที่บ้าน ซึ่งต้องใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึง ในขณะที่บ้านของเขานั้นใช้เวลาเพียงสิบนาทีเท่านั้น แต่เนื่องจากช่วงนั้น จุนซูได้เกิดอาการเสียงแตก จนไม่สามารถร้องเพลงได้ โปรเจคนี้จึงต้องล้มเลิกไปในที่สุด แต่ความสัมพันของซองมินและฮยอกแจก็ยังคงแน่นแฟ้นอยู่เช่นเดิม

หลังจากนั้น ฮยอกแจก็ถูกวางตัวให้เป็นศิลปินคู่กับดงแฮ โดยใช้ชื่อว่า OK จึงทำให้ทั้งคู่ที่เป็นเพื่อนกันอยู่แล้วนั้นมีความสนิทสนมกันมากขึ้นจากเดิม … และก็อีกเช่นเคย มันถูกยุบไปในเวลาไม่นานนัก
แม้ว่าฮยอกแจจะต้องการที่จะเดบิวต์มาก แต่สิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ ความเป็นห่วงในตัวของเพื่อนรัก เพราะเขากลัวว่าจุนซูจะไม่สามารถกลับมาร้องเพลงได้อีก … แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อวันหนึ่ง จุนซูและยุนโฮที่เขาสนิทก็ได้ถูกจับแยกไปเข้าร่วมโปรเจควง “TVXQ” ทั้งๆที่ฮยอกแจนั้นรอแล้ว รอเล่า ว่าสักวันเขาจะได้เดบิวต์พร้อมกับจุนซู…แม้ว่าฮยอกแจจะยินดีกับทั้งคู่ แต่ในวูบหนึ่งของความรู้สึก มันก็อดที่จะผิดหวังไม่ได้ แต่เขาก็ไม่แสดงอาการนั้นออกมาให้จุนซูเห็น เพราะฮยอกแจรู้ดีว่าจุนซูเองก็รู้สึกผิดไม่น้อย เพราะครั้งนี้ก็เป็นอีกหนึ่งครั้ง ที่มันทำให้เขารู้สึกว่า เขาทิ้งฮยอกแจ
เมื่อจุนซูได้เดบิวต์ในฐานะสมาชิกวง TVXQ และเป็นนักร้องหน้าใหม่ที่ได้รับความนิยม เพลง Hug ของพวกเขาประสบความสำเร็จและติดชาร์ต ฮยอกแจนั้นทำได้แค่เพียงเฝ้าดูความสำเร็จของเพื่อน และกัดฟันอดทนฝึกฝนเรื่อยมา เพื่อที่สักวัน จะถึงวันของเขาบ้าง ถึงจะยังมีความหวัง แต่ในใจลึกๆก็อดกลัวไม่ได้ ว่าถ้าหากเขาไม่ได้เดบิวต์ …จะทำเช่นไร?
และหลังจากที่ฝึกซ้อมอย่างหนักมาเป็นเวลา 4 ปี ในที่สุด เขาก็ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในสมาชิกวง Super Junior มันเป็นโอกาสที่ดีของเขา ที่จะพิสูจน์ตัวเองให้คนที่เคยสบประมาทว่าเขาไม่มีทางที่จะเป็นนักร้องได้ นั้นได้รู้ว่า เขาสามารถทำมันออกมาได้จริง

แต่เนื่องจาก ในวงการบันเทิงของเกาหลี มีพิธีกรและดาราตลกชื่อดังคนหนึ่งชื่อว่า อีฮยอกแจ เช่นเดียวกับเขา ทางต้นสังกัดจึงได้ทำการเปลี่ยนชื่อให้เขาใหม่ เพราะต้องการให้เขาโด่งดังด้วยความสามารถของตัวเอง แทนที่จะอาศัยชื่อที่เหมือนกับคนดังเพื่อไต่เต้าขึ้นมา และนั่นเอง ที่เป็นจุดเริ่มต้นของชื่อ อึนฮยอก
เมื่อการฟอร์มวงซูเปอร์จูเนียร์ได้เริ่มขึ้น สมาชิกในวงที่บ้างก็สนิทกันมาก่อนแล้ว และบ้างก็มีที่เพิ่งเข้ามา ก็ได้ใช้เวลาร่วมกันในการฝึกซ้อม ด้วยความที่เป็นคนอารมณ์ดี และเป็นมิตรกับคนรอบข้าง หนำซ้ำยังไม่เคยคิดร้ายกับใคร จึงทำให้ฮยอกแจสามารถเข้ากับเพื่อนๆในวงได้อย่างรวดเร็ว และสนิทสนมกับทุกๆคนได้ในระยะเวลาอันสั้น
ด้วยความที่ฮยอกแจเป็นคนที่ไม่เรื่องมาก และไม่ค่อยที่จะโกรธใคร เรียกได้ว่า ยอมไปเสียหมด นั่นเอง เพราะอะไรที่เสียสละได้ เขาก็มักจะทำมันอยู่เสมอ จึงทำให้สมาชิกในวงนั้นชอบแกล้งหยอกล้อเขาเสมอๆ และสิ่งที่เขาทำก็คือ การเถียงข้างๆคูๆอยู่สักพัก หลังจากนั้นก็เปลี่ยนมาเป็นการนั่งอมยิ้มและยอมรับสภาพที่เกิดขึ้นแทน และแม้ว่าเพื่อนๆในวงจะชอบล้อเขาในเรื่องที่ว่า เขาชอบดูวิดีโอเรทเอ็กซ์ก็ตามที แต่ทุกๆคนก็ยังคงลงความเห็นว่าฮยอกแจเป็นคนที่บริสุทธิ์ที่สุดในวง ที่ไม่เคยคิดร้ายกับใคร และเป็นคนดีของสังคม

… ซึ่งเจ้าตัวก็ได้บอกว่า “เขาไม่ได้เป็นคนดีอย่างที่คิด”

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ในสายตาคนรอบข้าง เขาก็ยังคงเป็นหนุ่มน้อยที่แสนดีอยู่เสมอ เพราะฮยอกแจนั้นรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับทุกๆคนอย่างเคร่งครัด ไม่เว้นแม้แต่กับ ELF ที่เขาได้เคยสัญญาว่า ถ้าหากเขามีความรัก เขาจะบอก ELF อย่างแน่นอน และเขาก็ทำอย่างนั้นจริงๆ หลังจากที่เขาได้ตกหลุมรักผู้หญิงปริศนาคนหนึ่ง เขาก็ได้มาเขียนไว้ในไซเวิลด์ เพื่อเป็นการบอกให้ ELF รับรู้ตามสัญญาที่ให้ไว้ แต่แล้วก็กลายเป็นเรื่องวุ่นวายขึ้น เขาจึงได้ลบข้อความนั้นออกจากไซเวิลด์ในเวลา 20 นาทีต่อมา … แต่นั่นมันก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เขาให้ความสำคัญต่อคำพูดและคำสัญญาที่ให้ไว้เป็นอย่างมาก
ในวันนี้ของฮยอกแจ เขาได้เดินตามความฝันมา และสามารถทำมันออกมาได้เป็นอย่างดี ฝีมือการเขียนท่อนแร็พในหลายๆเพลง เป็นผลงานของเขาร่วมกับชินดง และฮีชอล ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ เพลง Show me your love นั่นเอง ที่พวกเขาได้ช่วยกันเขียนท่อนแร็พของเพลงด้วยกัน รวมไปถึงเพลงในซิงเกิล Super Junior-T อีกด้วย
เขาพูดเสมอ ว่าเขาคือหนุ่มน้อยผู้เป็นเพชรที่เจิดจรัสแห่งซูเปอร์จูเนียร์ และวันนี้ เขาก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า คำพูดของเขานั้นไม่ได้เกินจริงไปเลย และก็ยังมีเอลฟ์ ที่จะยังคอยอยู่เคียงข้าง ช่วยผลักดันให้อัญมณีเม็ดนี้นั้นสว่างสดใสอีกนานแสนนาน

*****************************************************

ชื่อจริง : Lee Dong Hae (อี ดง แฮ)
ชื่อในวงการ : Dong Hae (ดง แฮ)
วันเกิด : 15 ต.ค.1986
ส่วนสูง : 175 ซ.ม. น้ำหนัก : 60 ก.ก.
งานอดิเรก : ร้องเพลง,เต้นรำ, ออกกำลังกาย, ดูหนัง
เริ่มเข้าสู่วงการบันเทิง : ปี 2001
โดยชนะเลิศสาขา Most handsome และ Best of the best
ในการประกวด SM Youngster contest
ผลงานอื่นๆ :
– SBS ShinDongYup’s “True or Lie” (พ.ย. 2005)
– พิธีกรคู่กับ ซอง มิน ในรายการของ KMTV

ดงเฮเป็นเด็กที่หน้าตาน่ารัก ช่างพูด และช่างเอาอกเอาใจคนรอบข้างมาตั้งแต่เด็กๆ จึงไม่แปลกอะไรที่ใครก็ตามที่อยู่รอบตัวเขาจะหลงรักหนุ่มน้อยผู้นี้ได้ไม่ยาก ดงแฮมีพี่ชายหนึ่งคน ชื่อ ดงฮวา ซึ่งเขาบอกว่า ดงฮวาเก่งกว่าเขา ฉลาดกว่าเขา และพ่อแม่ก็รักดงฮวามากกว่าเขา แต่ในความเป็นจริงแล้ว เป็นเขาต่างหาก ที่พ่อแม่รักและตามใจมากกว่าดงฮวาเป็นไหนๆ ไม่ว่าจะอยากได้อะไร ดงแฮก็จะได้มันมาอย่างง่ายดาย ผิดกับดงฮวา ที่ต้องเก็บเงินซื้อเอาเอง

เขาค่อนข้างที่จะสนิทกับพี่ชายค่อนข้างมาก และดงแฮก็เคยพูดเอาไว้ ว่าเพื่อนแท้ของเขา ก็คือ พี่ชายของเขาเอง … เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไร หรือว่าเขามีปัญหา มีเรื่องทุกร้อนใดๆ ดงฮวาก็มักจะคอยดูแลและปกป้องเขาเสมอมา นั่นอาจจะเพราะว่าเขามีกันอยู่แค่สองคนพี่น้อง จึงถูกสอนมาให้รักกันให้มากๆ นั่นเอง

ครอบครัวของดงแฮไม่ได้มีฐานะดีมากนัก จัดว่าเป็นครอบครัวที่ฐานะปานกลางของเกาหลี พ่อของเขาเป็นคนขับรถแท็กซี่ ส่วนแม่ของเขาในช่วงนั้นก็เป็นแม่ค้าขายปลา (หรืออะไรนี่แหละที่เกี่ยวกับปลา) แต่พ่อแม่ของเขาก็สนับสนุนความฝันของลูกชายคนเล็กเสมอมา เพราะดงฮวานั้นค่อนข้างเรียนเก่งมาก (และได้ข่าวว่าเขาได้ทุนไปเรียนต่อด้านการแพทย์ที่ต่างประเทศ) และน่าจะเป็นผู้นำครอบครัวที่ดีในอนาคตได้ เหลือเพียงแค่ดงแฮเท่านั้น และเมื่อเขามีความฝันที่ต้องการจะทำ ทั้งพ่อ แม่ และพี่ชาย จึงไม่มีใครคัดค้านเขา

ในตอนเด็กๆ ดงแฮมีความฝันอยากจะเป็นนักกีฬา แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ชอบที่จะเต้นให้พ่อดูอยู่บ่อยๆ พ่อเขาจึงบอกให้เขาเข้าวงการบันเทิง แต่ในตอนนั้น เขาก็ยืนยันในคำตอบที่ว่า “อยากเป็นนักกีฬา” จนกระทั่งเข้าเรียนชั้น ม.1 ก็ได้เห็นประกาศออดิชั่นบนปกเทป ความฝันอยากเป็นศิลปินมันจึงเริ่มผุดขึ้นมาในความคิดของเขา และเมื่อเขาบอกพ่อในเรื่องนี้ พ่อของเขาก็ให้เงินมา และสนับสนุนลูกชายคนนี้อย่างเต็มที่
ดงแฮหัดกีตาร์มาตั้งแต่ยังเด็ก เริ่มจากการยืมของเพื่อนมาหัด จนกระทั่งมีกีตาร์เป็นของตัวเอง และในวันหนึ่ง เขาก็เดินทางมาที่โซล เพื่อออดิชั่นเป็นศิลปินฝึกหัดของ SM Entertainment ในรายการ SM Youngster contest การประกวดครั้งนี้ มีศิลปินหลายคนของ SM ในปัจจุบันที่ร่วมประกวดด้วย ดงแฮได้รางวัล ชนะเลิศสาขา Most handsome และ Best of the best เนื่องจากมีหน้าตาที่น่ารัก และความสามารถที่ค่อนข้างโดดเด่นนั่นเอง
การที่ได้เป็นศิลปินฝึกหัด ทำให้ดงแฮต้องออกมาเช่าหอพักอยู่ที่โซล และหยุดเรียนไปในช่วงหนึ่ง เพื่อที่จะได้ฝึกฝนกับทางบริษัท เหตุนี้เอง ทำให้เขาต้องห่างจากทางบ้าน สิ่งที่ทำได้ก็เพียงแค่การโทรศัพท์ไป เนื่องจากระยะทางที่ค่อนข้างห่างไกล และตารางฝึกซ้อมค่อนข้างหนัก ทำให้เขาแทบจะไม่ได้กลับบ้าน และไม่ได้เห็นหน้าครอบครัวเป็นระยะเวลาหลายปี และนี่คือเหตุผลหลัก ที่ทำให้เขาค่อนข้างอ่อนไหวเมื่อพูดถึงคนในครอบครัว หรือคำว่า บ้าน

ในช่วงแรก ดงแฮค่อนข้างสนิทกับจุนซู ฮยอกแจ อิทึก ฮีชอล และยุนโฮ เขาค่อนข้างจะนับถือยุนโฮมากกว่าคนอื่นๆ ซึ่งเป็นอันรู้กันดีว่า ดงแฮนั้นเป็นเด็กที่ค่อนข้างหัวรั้นพอสมควร แต่เขามักจะมีวิธีการพูดที่น่ารัก แทนที่จะโวยวายเอาแต่ใจ เมื่อใดที่เขาโมโห คนรอบข้างส่วนมากมักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เขาเป็นตัวอันตรายและไม่ใช่คน คงมีเพียงยุนโฮเท่านั้นที่จะสามารถปราบเด็กน้อยผู้นี้ได้อยู่หมัด
ด้วยความที่อยู่ตัวคนเดียวในเมืองใหญ่ การใช้ชีวิตของดงแฮจึงค่อนข้างลำบาก เมื่อเทียบกับเวลาอยู่ที่บ้าน เพราะที่นั่นมันเหมือนกับว่าเขาเป็นเจ้าชายน้อยของพ่อและแม่ แต่ในโซล .. เขาเป็นแค่เด็กชายคนหนึ่ง ที่เช่าบ้านพักอยู่กับพี่ชายสองคนอย่างฮีชอลและยุนโฮ (หลังจากที่เคยอยู่คนเดียวมาก่อนหน้า) โดยหน้าที่ของเขานั้นก็คือการทำความสะอาดบ้านในฐานะน้องเล็ก ส่วนการใช้จ่ายเงินของเขานั้น ก็ต้องควบคุมเอง และต้องใช้อย่างประหยัด
หลังจากฝึกซ้อมในแต่ละวัน ซึ่งเป็นไปอย่างหนัก ตั้งแต่เช้าจรดเย็น ดงแฮจะไปเดินเล่น หรือทานอาหารพร้อมกับเพื่อนๆซึ่งเป็นศิลปินฝึกหัดด้วยกัน ด้วยความที่เขาค่อนข้างที่จะตัวเล็ก หน้าตาน่ารัก และขี้แย จึงทำให้ฮยอกแจและจุนซูมักจะชอบแกล้งอยู่เสมอๆ และทำให้เขาต้องร้องไห้อยู่บ่อยๆ แต่นั่นมันกลับทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาในฐานะเพื่อนยิ่งแน่นแฟ้นมากขึ้น
การฝึกฝนในฐานะศิลปินฝึกหัดของดงแฮค่อนข้างหนัก มีหลายต่อหลายครั้งที่เขานึกอยากจะวิ่งกลับไปที่บ้านด้วยความคิดถึงครอบครัว แต่เพื่อความฝัน ดงแฮจึงต้องอดทน และดูแลตัวเองเรื่อยมา จากที่เคยเป็นเด็กน้อยที่ขี้แย ดงแฮเริ่มเข้มแข็งขึ้นทีละนิด เขาต้องดูแลตัวเอง ความคิดจึงเริ่มโตขึ้นทีละน้อย แต่ทว่าความน่ารักที่เคยมีมา ก็ยังคงมีอยู่เช่นเดิม เพราะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะสามารถเข้าไปพูดกับฮีชอลได้ในเวลาที่โมโห แต่ดงแฮก็เป็นหนึ่งคนนั้น ที่สามารถเข้าไปพูดคุยกับฮีชอลได้โดยดี และไม่ถูกตะเพิดออกมา

ก่อนที่จะมีการเดบิวต์นั้น ดงแฮได้เคยร่วมทีกับเพื่อนๆซึ่งเป็นศิลปินฝึกหัด อย่างฮยอกแจ จองซู และคนอื่นๆ โดยชื่อที่เคยใช้เป็นชื่อทีมนั้นได้แ่ก่ “OK” “Smile” และ “Pricor”
ในการฟอร์มวงซุปเปอร์จูเนียร์ ดงแฮก็เป็นอีกหนึ่งศิลปินฝึกหัดที่ได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมในวงนี้ เขาค่อนข้างดีใจมาก เพราะความพยายามที่มีมาหลายปีได้เห็นผลแล้ว ดงแฮจึงทุ่มเทเวลาที่มีเพื่อซ้อมเต้น และหัดร้องเพลงให้มากขึ้น เนื่องจากปกติเขาเป็นคนที่เสียงดี แต่ร้องเพลงเพี้ยน จึงเป็นการบ้านข้อใหญ่ของหนุ่มน้อยผู้นี้ ที่ต้องไปหัดร้องเพลงให้ออกมาดีให้ได้
และในการฟอร์มวงนั้นเอง ทำให้ดงแฮได้พบกับคิบอม เพื่อนใหม่ที่มาจากอเมริกา เขาค่อนข้างที่จะถูกชะตากับเพื่อนใหม่คนนี้มาก ด้วยเหตุที่ทั้งคู่มักจะไปเจอกันโดยบังเอิญที่ห้องซ้อมของบริษัทในช่วงดึก เพราะต่างคนต่างนอนไม่หลับ จึงทำให้พวกเขาได้เริ่มพูดคุยกันมากขึ้น แต่เพราะคิบอมค่อนข้างพูดน้อย เขาจึงจำเป็นต้องเป็นฝ่ายเข้างไปตีสนิทและชวนคุย นั่นคือจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ของทั้งคู่ จนกลายเป็นเพื่อนรัก ที่แค่เพียงมองตาก็เข้าใจอย่างเช่นทุกวันนี้ เพราะในหลายๆครั้ง ที่มีแฟนเพลงให้ของมา และเขาไม่ได้รับมาเพื่อตัวเอง แต่กลับรับมาเพื่อเอามาให้คิบอมเนื่องจากรู้ว่าคิบอมต้องชอบ
ทุกครั้งที่มีปัญหา คนที่ดงแฮมักจะคิดถึงเป็นอันดับต้นๆ รองจากทางบ้านแล้วก็คือ คิบอม ทุกครั้งที่เขาไม่สบายใจ ดงแฮก็มักจะไปขลุกตัวอยู่ที่หอพักของคิบอม และนั่งคุยกันจนถึงเช้า หรือจนกว่าเขาจะรู้สึกดีขึ้น
ด้วยความที่ดงแฮเป็นคนขี้เล่น ในการตอบคำถามของเขาหลายๆครั้ง ก็มักจะตอบไปตามอารมณ์มากกว่าจะตอบไปตามความเป็นจริง เมื่อก่อน ดงแฮเคยคิดที่จะลองสูบบุหรี่ แต่เมื่อมีเหตุการณ์ร้ายแรงในชีวิต เขาก็ไม่คิดจะแตะมันอีกเลย

มรสุมครั้งใหญ่ของดงแฮเกิดเมื่อพ่อของเขาป่วยหนัก แต่เนื่องจากตารางงานนั้นค่อนข้างแน่น ทำให้ดงแฮไม่มีเวลาว่างไปเฝ้าพ่อของเขาได้เลย สิ่งที่เขาทำได้ก็เพียงแค่นั่งภาวนาให้พ่อหายดี เพราะพ่อคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา ตลอดช่วงเวลาที่พ่อนอนอยู่ที่โรงพยายาล ดงแฮจะโทรไปถามอาการทุกๆวัน และในวันที่อาการทรุด เขากระวนกระวายมาก เนื่องจากวันนั้นมีงาน สิ่งที่ทำได้ก็คือ พยายามรีบทำงานให้เสร็จ เพื่อที่จะเดินทางกลับไปเยี่ยมพ่อที่ต่างจังหวัด … แต่พ่อก็รอเขาไม่ไหว ดงแฮกลับไปถึงเมื่อพ่อของเขาเสียชีวิตแล้ว มันคือความรู้สึกผิดอันใหญ่หลวงที่ประทับอยู่ในใจของเขา ลึกๆในใจของดงแฮค่อนข้างเจ็บปวด ในวูบหนึ่งของความคิด เขาเริ่มไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เขาบอกว่า คือความฝัน มันคือทางเลือกที่ผิดหรือเปล่า เพราะไม่เช่นนั้น ในวันนี้ เขาคงได้อยู่กับพ่อ ได้พูดคุยกับพ่อ ก่อนที่จะไม่มีเวลาเหลืออีก
เพราะพ่อของเขาเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งที่ปอด ดงแฮจึงฝังใจและเกลียดบุหรี่ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา เขาสัญญากับตัวเองไว้ว่า จะไม่แตะต้องบุหรี่อีกต่อไป
แต่ความทุกข์ระทมกลับยังไม่จบสิ้น สองวันต่อมา หลังจากที่ซุปเปอร์จูเนียร์เดินทางกลับจากงานศพของพ่อของเขา ฮีชอล พี่ชายอีกคนที่เขารักมาก ก็กลับมาประสบอุบัติเหตุอีกคน ทำให้ความสับสนถาโถมเข้ามาในหัวของดงแฮมากมาย เป็นไปไม่ได้ … ที่เขาจะไม่คิดโทษตัวเอง
ดงแฮค่อยๆมีสภาพจิตใจที่ดีขึ้นหลังจากนั้น เขาพยายามทำตัวเข้มแข็ง และร้องไห้ให้น้อยลง แต่แล้วก็ต้องทรุดอีกรอบในวันที่ยุนโฮ พี่ชายสุดที่รักของเขาถูกแอนตี้แฟนทำร้ายนั้นคือวันเกิดของเขาเอง แน่นอนว่ามันเป็นวันเกิดปีที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของดงแฮ วันเกิดที่เขาไม่มีพ่อ วันเกิดที่พี่ชายหนึ่งคนต้องนอนพักรักษาตัว และวันเกิดที่พี่ชายที่รักและเคารพมาโดนทำร้าย
ทุกเหตุการณ์มันเชื่อมโยงมาที่ตัวของดงแฮอย่างเลี่ยงไม่ได้ … หรือเพราะเขาเป็นตัวซวย?

แทบทุกคนมุ่งความสนใจไปที่อาการของยุนโฮ จนแทบจะลืมกันไปว่าวันนี้คือวันเกิดของดงแฮ เพราะแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่มีกะจิตกะใจจะฉลองวันเกิดกับใครเหมือนกัน ในวันนั้น ดงแฮได้ออกไปพบกับคิบอม และไปอยู่ที่หอพักของคิบอมจนกระทั่งเช้า เพราะว่าเขาไม่สามารถอยู่ตัวคนเดียวได้ในช่วงเวลาเช่นนี้
แต่ทุกๆอย่างก็เริ่มดีขึ้นอีกครั้ง ฟ้าหลังฝนนั้นเริ่มสดใสขึ้น ดงแฮกลับมาเป็นเด็กร่าเริงตามปกติ หลังจากที่ชีวิตพบแต่เรื่องเลวร้ายมานาน เขาได้เลิกกับเจสสิก้า ที่เคยคบหากันมาในช่วงก่อนเดบิวต์ จนกระทั่งเดบิวต์แล้วในช่วงแรก ซึ่งก็เคยมีภาพจูบกันออกมาตำตาตำใจแฟนคลับ แต่ภายหลังก็ได้รับการยืนยันมาจากทางนักข่าวเกาหลีแล้วว่า นั้นไม่ใช่รูปของดงแฮแต่อย่างใด เป็นแค่เพียงคนที่หน้าตาด้านข้างคล้ายเขาเพียงเท่านั้นเอง ทั้งคู่คบกันเรื่อยมา และดีๆ เลิกๆกันอยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่สุดท้าย ก็เลิกรากันด้วยดี และคงไม่มีทางหวนกลับไปอีก เพราะว่าครั้งนี้ ฝ่ายหญิงนั้นยืนยันหนักแน่น และเป็นฝ่ายที่บอกเลิกเองด้วย
ดงแฮกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ ในวันหนึ่งๆ ก็มีแค่เพียงงาน กับเพื่อนร่วมวง ทุกๆอย่างเหมือนจะลงตัว จนกระทั่งมีเหตุการณ์ที่เขาหลุดปากต่อว่าแฟนคลับที่จีนด้วยคำพูดที่ค่อนข้างรุนแรงขึ้น ทำให้เขาถูกพักงานชั่วคราว เพื่อให้มีเวลาได้ทบทวนถึงการกระทำที่ตัวเองทำไป ด้วยอารมณ์ชั่ววูบ และเพราะเป็นคนใจร้อน ทำให้เขาไม่ทันยั้งคิดอะไรนั่นเอง ที่ทำให้ดงแฮต้องกลับมาเครียดและรู้สึกแย่อีกครั้ง แม้ว่าจะได้รับกำลังใจจากเพื่อนๆในวงและเอลฟ์ แต่เขาก็ยังรู้สึกผิดอยู่เช่นเดิม และเคราะห์ก็ซ้ำอีกระลอก เมื่อสมาชิกในวงเกิดอุบัติเหตุ สภาพจิตใจที่ไม่ค่อยดีของดงแฮก็กลับมาย่ำแย่อีกครั้ง เขาไม่สามารถออกไปไหนได้เลย แม้แต่จะออกไปเยี่ยมคยูฮยอน ก็ยังถูกห้าม มันช่างเป็นช่วงเวลาที่แสนทรมานของดงแฮ
แต่ในวันนี้ เรื่องราวทุกๆอย่างเหลือแค่เพียงความทรงจำ … ปลาน้อยปิรันย่า ก็ยังคงร่าเริงและสดใส แม้จะมีบางครั้งที่เขาอาจทำตัวไม่ดีไปบ้าง แต่มันไม่ก็ไม่ได้เกิดจากความตั้งใจ และก็ยังมีคนที่พร้อมจะรักและให้อภัยเขาเสมอ รอยยิ้มสดใสของผู้ชายที่ชื่อ อีดงแฮ จะยังคงอยู่ และไม่เลือนหาย ตราบใดที่ยังมีเอลฟ์คอยเคียงข้าง

*****************************************************

ชื่อจริง : Choi Si Won(ชอย ซี วอน)
ชื่อในวงการ : Si Won (ซี วอน)
วันเกิด : 10 ก.พ.1987
ส่วนสูง : 183 ซ.ม.น้ำหนัก : 65 ก.ก.
งานอดิเรก : เทควันโด, ร้องเพลง
ความสามารถพิเศษ : พูดภาษาจีนได้, การแสดง, ตีกลอง
เริ่มเข้าสู่วงการบันเทิง : ปี 2003
โดย Starlight Casting System
ผลงานละคร :
– KBS ‘1829’ (มี.ค. 2005)
– KBS ‘Letter to My Parents’ (พ.ค. 2005)
– KBS ‘A boy from a charnel house’ (ก.ย. 2005)
– SBS ‘Curious Human Being’ (ก.ย. 2005)
– SBS ‘I Like Sunday’ – X Man (ต.ค. 2005)
ผลงานภาพยนตร์ :
‘Muk Gong’ ร่วมกันสร้างโดยประเทศเกาหลี จีน ญี่ปุ่น (ต.ค. 2005)
ผลงานโฆษณา :
– เครื่องแบบนักเรียน ‘Elite'(ก.ย. 2004)
– โยเกิร์ต ‘Viyotte'(ส.ค. 2005)
ผลงานอื่นๆ :
มิวสิควีดีโอเพลง ‘What is Love’ ของ Dana (ต.ค. 2003)

ก็เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้ว ว่าฐานะทางบ้านของสมาชิกรายนี้นั้นเป็นเช่นไร ดังนั้นถ้าหากจะเรียกเขาว่า คุณชาย ก็คงจะเรียกได้กันอย่างเต็มปากเต็มคำ เนื่องจากธุรกิจในครอบครัวของซีวอนนั้นค่อนข้างใหญ่ โดยมีธุรกิจหลักของทางบ้านเป็นห้าง Hyundai ซึ่งถ้าหากจัดอันดับความรวยแล้วล่ะก็ ถือว่าได้เป็นอันดับที่ 2 ของเกาหลี รองมาจาก Sumsung เลยทีเดียว
ซีวอนเป็นลุกชายคนโตของครอบครัว เวลาส่วนมากของเขาตั้งแต่เด็กจนโต มักจะอยู่กับแม่และน้องสาวเป็นส่วนมาก แม่ของซีวอนนั้นสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงเท่าใดนัก เขาจึงเปรียบได้ว่าเป็นหัวหน้าครอบครัวอีกคนหนึ่งแทนผู้เป็นแม่ เนื่องจากคุณพ่อนั้นก็ต้องมีภาระดูแลธุรกิจอยู่ เรื่องราวในบ้านส่วนใหญ่จึงมักจะหนีไม่พ้นมือของเขาคนนี้ จึงไม่แปลก ที่ทุกครั้งที่กลับจากต่างประเทศ เขาจะต้องรีบมุ่งหน้ากลับไปบ้านในทันที

ซีวอนเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างเข้มงวด พ่อของเขาวาดหวังเอาไว้ ว่าต่อไปลูกชายคนเดียวคนนี้จะต้องรับช่วงต่อกิจการของครอบครัว แน่นอนว่าข้อนี้ เขาเองก็รู้ดีมาตั้งแต่เด็กๆ ว่าคงหนีชะตากรรมข้อนี้ไม่พ้นอย่างแน่แท้ ซีวอนถูกส่งไปเรียนในโรงเรียนที่ค่อนข้างมีระเบียบตั้งแต่ยังเล็ก นิสัยของเขาจึงถูกขัดเกลามาให้เป็นสุภาพบุรุษ สุภาพ และมีระเบียบ ซึ่งค่อนข้างต่างจากเพื่อนๆร่วมวง ที่เฮฮา สบายๆ อะไรก็ได้

ด้วยการเลี้ยงดู ด้วยสภาพสังคม ทำให้ซีวอนค่อนข้างเป็นคนมีระเบียบ มีการวางแผนในเรื่องต่างๆอยู่เสมอ แต่แทนที่เขาจะถือเนื้อถือตัว ตามแบบของลูกคนรวยทั่วไป ซีวอนกลับมีนิสัยที่ติดดินอย่างเหลือเชื่อ

เพราะชีวิตที่สุขสบายจนเกินไป ชีวิตเขาถูกจำกัดไว้แค่เพียง บ้าน โรงเรียน ที่เรียนพิเศษ มันทำให้เขานึกอิจฉาเพื่อนๆ ที่สามารถใช้ชีวิตวัยรุ่นได้ตามต้องการ เขาอยากมีชีวิตเหมือนคนอื่นๆ ชีวิตแบบคนทั่วๆไป ด้วยเหตุนี้เอง ซีวอนจึงได้แอบไปสมัครทำงานที่ปั๊ม (ระวัง!! ถูกหลอกลวง) (ระวัง!! ถูกหลอกลวง) (ระวัง!! ถูกหลอกลวง) (ระวัง!! ถูกหลอกลวง) (ระวัง!! ถูกหลอกลวง) (ระวัง!! ถูกหลอกลวง) (ระวัง!! ถูกหลอกลวง)แห่งหนึ่ง ซึ่งแน่นอน หน้าที่ของเด็กปั๊ม (ระวัง!! ถูกหลอกลวง) (ระวัง!! ถูกหลอกลวง) (ระวัง!! ถูกหลอกลวง) (ระวัง!! ถูกหลอกลวง) (ระวัง!! ถูกหลอกลวง) (ระวัง!! ถูกหลอกลวง) (ระวัง!! ถูกหลอกลวง)คือการให้บริการต่างๆแก่ลูกค้า เขามีความสุขมากที่ได้ใช้ชีวิตแบบนั้น แต่ก็ทำได้แค่เพียง 4 วัน เพราะในวันที่สี่ ระหว่างที่เขาทำงานอยู่นั้นเอง ปากเจ้ากรรมก็ดันไปขอให้ลูกค้าลดกระจกลง และสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อบุคคลที่นั่งในรถนั้นคือ พ่อผู้เข้มงวด ของเขาเอง

ซีวอนจึงต้องลาออกจากงานในวันนั้น และถูกกักบริเวณในวันต่อมา รวมถึงถูกสอดส่องพฤติกรรมแทบจะทุกฝีก้าว

แต่แม้ว่าทางบ้านจะเข้มงวดเพียงใด ก็ยังเปิดโอกาสให้เขาได้ทำอะไรในสิ่งที่ต้องการตามที่พ่อและแม่เห็นว่าสมควร ซีวอนเริ่มหัดเรียนตีกลอง เล่นเปียโน และกีตาร์ตั้งแต่เด็ก และก็ยังหัดว่า้ยน้ำ เรียนเทควันโดมาพร้อมๆกัน ความสามารถในด้านกีฬาของเขาค่อนข้างอย่ในระดับสูง จนสอบเทควันโดได้ในระดับสายดำ ดั้งที่ 5 นอกจากนั้นเขาก็ยังเคยแข่งขันระดับประเทศ และได้รางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่งมาแล้ว แน่นอนว่า ความสามารถด้านเทควันโดของซีวอนนั้นมากพอที่จะสามารถเป็นครูสอนเทควันโคเลยทีเดียว และนอกเหนือจากนี้ เขายังเล่นบาสเก็ตบอลเก่งมาก ถึงขนาดเคยเป็นนักกีฬาของโรงเรียนมาแล้วด้วย

อนาคตของเขาถูกวางไว้ตั้งแต่ต้น ซีวอนมีโครงการจะไปเรียนต่อต่างประเทศ หลังจากที่เข้าเรียนในชั้นมัธยมปลายแล้ว ดังนั้น เขาจึงต้องเตรียมความพร้อมเพื่อจะต้องไปใช้ชีวิตในต่างประเทศเอาไว้ แต่ในวันเปิดภาคเรียน วันแรกที่เขาเป็นนักเรียนไฮสคูลนั่นเอง ระหว่างที่เดินออกจากโรงเรียนเพื่อไปทานกัมจาทังกับเพื่อนๆ ก็ได้มีแมวมองเดินเข้ามาติดต่อเขา พร้อมกับให้นามบัตรไว้
ก่อนหน้านั้น มันเคยเป็นเพียงความคิดเล่นๆ ที่เคยเกิดขึ้นในหัว ว่า “ถ้าเขาเป็นดารา มันจะเป็นยังไงนะ” แต่มันก็ได้หายออกไปจากความคิดของเขานานแล้ว … และก็เริ่มกลับเข้ามาอีกครั้งเมื่อได้รับนามบัตร ซีวอนติดต่อไปยังผู้ที่ให้นามบัตรแก่เขามา และเริ่มที่จะจริงจังกับการเป็นดาราขึ้นมาแล้ว
ซีวอนได้รู้ถึงกำหนดการที่จะต้องเดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศเป็นอย่างดี เขารู้ว่าพ่อของเขาเตรียมทุกอย่างไว้ให้แล้ว ทั้งตั๋วเครื่องบิน ที่อยู่ และอะไรต่อมิอะไร เหลือเพียงแค่กำหนดวันออกเดินทางเพียงเท่านั้น
แคนาดา 4 ปี … ตามด้วยญี่ปุ่นอีก 4 ปี … เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้วท้องไส้ของเขาก็ปั่นป่วนอย่างบอกไม่ถูก
แต่เหมือนกับโชคเข้าข้าง เมื่อช่วงนั้นมีการเข้มงวดเรื่องวีซ่ามากขึ้น และก่อนเรียนจบชั้นมัธยมปลาย ก็ยังจำเป็นที่จะต้องกลับมาที่เกาหลีอีกครั้งเพื่อเรียนต่อให้จบชั้นมัธยมปลายของที่เกาหลีด้วย (ไม่งั้นจะกลับมาเรียนต่อในมหาลัยที่เกาหลีไม่ได้ หรือไงนี่แหละ) เพราะเหตุนี้ การเรียนต่อต่างประเทศของเขาจึงได้ถูกยืดเวลาออกไป

และครั้งนี้ ซีวอนได้เดินเข้าไปเพื่อขอร้องพ่อของเขาอีกครั้ง แน่นอนว่ายังได้รับคำยืนยันเช่นเดิมว่า “ไม่อนุญาต” แต่เพราะความตั้งใจจริงของเขา และเขาได้ให้คำสัญญากับพ่อเอาไว้ ว่าจะทำตามที่พ่อต้องการอย่างแน่นอน แต่ว่าเขาขอเลือกเส้นทางนี้ด้วยตัวเองสักครั้ง … อย่างน้อยก็ขอให้ได้ลองกับมันดูสักตั้ง พ่อเขาจึงยอมใจอ่อนให้ แต่มีข้อแม้ว่า สิ่งที่เขาเลือกนั้นคือความรับผิดชอบของเขาทั้งหมด จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับทางบ้าน และ เขาจะต้องดูแลความประพฤติตัวเองให้ดี ไม่เช่นนั้น จะต้องออกจากวงการบันเทิง และเดินทางไปเรียนต่อตามสัญญาทันที
เป็นเวลานับแรมปี ที่ซีวอนพยายามขอร้องทั้งพ่อและแม่ และในที่สุดก็ได้รับอนุญาตมาด้วยความยากลำบาก และได้ออดิชั่นผ่านเข้ามาเป็นศิลปินฝึกหัดจนได้
แต่เขาต่างจากสมาชิกในวงคนอื่นๆตรงที่ ส่วนมากต่างพยายามเพื่อความฝัน ความกลัวของพวกเขามีแค่ “กลัวจะไม่ได้เดบิวต์” แต่สำหรับซีวอนแล้ว เขากลัวทั้งเรื่องการไปเรียนต่อต่างประเทศ ทั้งเรื่องที่พ่อนั้นไม่ได้อนุญาตด้วยความเต็มใจ ทั้งเรื่องการใช้ชีวิตในวงการบันเทิง และไหนจะกลัวเรื่องไม่ได้เดบิวต์อีก นั่นคือภาระอันยิ่งใหญ่ของเขา
เพราะซีวอนต้องการที่จะพิสูจน์ให้พ่อของเขาได้เห็นว่า เขาเลือกเส้นทางที่ถูกแล้ว และเขาก็ทำได้อย่างที่เขาเคยบอกเอาไว้จริงๆ … เขาต้องการให้พ่อยอมรับ และปล่อยให้เขาเลือกทางเดินเองเสียที
หนึ่งปีต่อมา หลังจากที่ได้เข้ามาในฐานะศิลปินฝึกหัด ซีวอนถูกส่งไปยังประเทศจีนเพียงลำพัง ทั้งๆที่เขาไม่รู้อักษรจีนแม้สักตัวเดียว กว่าเขาจะคุ้นเคยกับภาษา และแยกแยะคำได้ก็กินว่าเป็นกว่าหนึ่งเดือน เขาพยายามเรียนรู้ภาษาจีนอย่างสุดกำลังที่มี เพื่อต้องการอยู่รอดในจีนให้ได้ … พ่อของเขาสอนเอาไว้เสมอ ว่าการทำอะไรต้องทำให้เต็มที่ ทำให้มั่นใจว่าทำได้ แต่ถ้าหากทำไม่ได้ เรา็ก็ได้รู้ ว่าเราทำมันเต็มที่แล้ว

ซีวอนใช้ชีวิตอยู่ที่จีนกว่า 6 เดือน จึงได้กลับมายังเกาหลี
และเมื่อกลับมา หลากคำพูดจากคนรู้จักของพ่อ ที่ต่างก็ทำงานเป็นผู้บริหารระดับสูง ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน ว่าเขาควรตะล้มเลิกความคิดที่จะเป็นดาราที่ไร้สาระ แล้วหันมาสานต่อธุรกิจครอบครัวจะดีกว่า … คำพูดเหล่านั้นมันทำให้เขาโกรธ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ และมันก็ไม่ได้ทำให้เขาล้มเลิกความตั้งใจที่มี มันกลับเป็นแรงกระตุ้นที่ทำให้เขาพยายามมากขึ้นกว่าเก่าเป็นเท่าตัว
หลังจากนั้นไม่นาน ซีวอนก็ได้เดบิวต์ในฐานะนักแสดง ด้วยละครเรื่องแรก 18-29 แม้จะไม่ใช่บทที่สำคัญอะไร แต่เขาก็ประทับใจกับงานชิ้นนี้มาก ซีวอนเปิดดูสมุดบัญชีแล้วอมยิ้มให้กับตัวเองอยู่หลายครั้ง … มันคือเงินก้อนแรกที่เขาหามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ไม่ใช่เงินที่แบมือขอจากทางบ้านมา .. และเงินก้อนนั้น เขาก็นำไปบริจาคให้กับโบสถ์ที่เขาไปประจำ
เมื่อข่าวเรื่องที่เขานำเงินก้อนแรกในชีวิตไปบริจาคให้กับโบสถ์รู้ถึงหูของพ่อ มันทำให้ซีวอนแทบจะไม่อยากเชื่อหูตัวเอง เพราะมันเป็นวันที่พ่อเอ่ยปากบอกว่า ภูมิใจในตัวของเขา และบอกให้เขารับผิดชอบในงานให้ดี พยายามให้มากขึ้นจากเดิม … มันยากนัก ที่พ่อของเขาจะเอ่ยปากชมใคร
และเมื่อได้รับกำลังใจที่เปี่ยมล้นจากพ่อแล้ว ซีวอนก็ได้ก้าวต่อด้วยความมั่นใจที่มากขึ้นจากเดิม เขาไม่ต้องกังวลกับการเรียนต่อ ไม่ต้องกังวลเรื่องที่พ่อคัดค้านอีกต่อไป แต่ลึกๆแล้ว เขาก็ยังคงรู้ตัวดี ว่าอย่างไรก็ตาม ในอนาคต เขาก็ต้องกลับไปรับช่วงต่อจากพ่อ และบริหารกิจการของครอบครัว ดังนั้นจึงจะเห็นได้ว่า ซีวอนพยายามที่จะควบคุมตัวเองไว้ ในเวลาที่เพื่อนๆ สมาชิกในวงนั้นต่างเล่นอะไรที่บ้าบอคอแตก ก็มักจะมีแค่เขาเท่านั้นที่อยู่นิ่งๆ รักษามาดเจ้าชายอย่างเสมอต้นเสมอปลาย จนทำให้ฮยอกแจนึกรำคาญแทน

นั่นไม่ใช่เพราะซีวอนไม่อยากจะเล่น หรือพยายามเก็กให้ดูดี แต่เพราะความเป็นจริงแล้ว เขาไม่สมควรที่จะไปเล่นอะไรแบบนั้นมากกว่า เพราะสายตาที่จับจ้องเขาอยู่ไม่ได้มีแค่แฟนคลับ หรือคนที่ชื่นชอบผลงานของเขาเท่านั้น แต่ยังมีคนรู้จักของพ่อ แม่ รวมไปถึงอีกหลายๆคนที่ร่วมธุรกิจกับทางบ้านของเขาอยู่ แน่นอนว่าเขาต้องรักษาภาพพจน์ของตัวเองเอาไว้ เพราะเกรงใจพ่อในส่วนหนึ่ง และในอีกส่วนก็คือ เขาต้องพยายามทำตัวให้ดูน่าเชื่อถือ เพราะมันอาจจะส่งผลต่อการทำงานของเขาในภายภาคหน้าได้
เมื่อซีวอนได้รู้ว่าเขาจะต้องเดินทางกลับไปยังประเทศจีนอีกครั้งหนึ่ง เพื่อร่วมถ่ายทำภาพยนต์เรื่อง Muk Gong เขาก็เริ่มที่จะมาคลุกคลีอยู่กับฮันคยองมากขึ้น ทั้งนี้ก็เพราะต้องการฝึกภาษาจีนของเขาให้ดีขึ้น เพื่อที่จะได้สื่อสารกับคนในกองถ่ายได้เข้าใจ และด้วยความที่เขาเป็นคนมีน้ำใจ จึงมักจะคอยช่วยเหลือทั้งฮันคยองและคิบอมอยู่เสมอๆ เพราะเขาเข้าใจทั้งคู่ดี ที่ต้องจากบ้านมาอยู่ในต่างประเทศโดยปราศจากครอบครัว เพราะตัวของซีวอนเองนั้นก็เคยเผชิญชะตากรรมนี้มาก่อนหน้า ทำให้เขาได้รู้ซึ้งถึงความรู้สึกนั้นเป็นอย่างดี ดังนั้น อะไรที่เขาจะสามารถช่วยเพื่อนทั้งสองได้ ซีวอนก็จะไม่รีรอที่จะทำมันเลย
กับเพื่อนๆในวง ซีวอนนั้นมีความจริงใจให้กับทุกๆคน แต่ติดตรงที่ว่า การอยู่ร่วมกันในหมู่มาก จึงเกิดการชิงดีชิงเด่นกันบ้าง แต่ก็มักจะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ ที่ไร้สาระกันเสียมากกว่า เช่น การแย่งขนม งอนเวลาที่เพื่อนเล่นเกมแล้วไม่เรียก แข่งกันทำอะไรต่อมิอะไรที่ไม่ได้เกี่ยวกับงาน ซึ่งโดยส่วนมากมักจะเป็นการงอนกันในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง เนื่องด้วยซีวอนมักจะให้ความสำคัญกับเพื่อนๆ สนิทกับเพื่อนๆในวงทุกคน และเขาก็อยากที่จะเป็นคำสำคัญของเพื่อนๆเช่นกัน ดังนั้น เวลาที่มีใครมองข้าม หรือลืมเขาไป ซีวอนก็จะออกอาการงอนทันที และแน่นอนว่าคนที่มักจะโดนบ่อยๆก็คือ ฮีชอลและฮันคยอง เพราะแค่เพียงลืมโทรศัพท์หาเขาเพียงเท่านั้น เขาก็จะงอนและเริ่มทำตัวงอแง

*****************************************************

ชื่อจริง : Kim Ryeo Wook (คิม เรียว อุค)
ชื่อในวงการ : Ryeo Wook (เรียว อุค)
วันเกิด : 21 มิ.ย. 1987
ส่วนสูง : 173 ซ.ม. น้ำหนัก : 58 ก.ก.
งานอดิเรก : ร้องเพลง
ความสามารถพิเศษ : แต่งเพลง
เริ่มเข้าสู่วงการบันเทิง : ปี 2004
โดยชนะเลิศการประกวดร้องเพลง CMB Youth ‘Chin Chin’ singing
Competition
ผลงานอื่นๆ :
ชนะเลิศการประกวด MBC ‘at the twinkling night’ (มิ.ย. 2004)

รยออุค เด็กน้อยผู้มีภาพลักษณ์ของการเป็นเด็กชายอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักเพียงใดก็ตาม

เขาเติบโตมาท่ามกลางครอบครัวที่ทำงานด้านดนตรี คุณพ่อของเขาจึงให้การสนับสนุนลูกชายในเรื่องดนตรีและการร้องเพลงมาตั้งแต่เด็กๆ และว่ากันว่า ที่บ้านของเขานั้นมีห้องอัดเสียงเป็นของตัวเองด้วย โดยที่พ่อของเขานั้นออกทุนสร้างให้

ครอบครัวของรยออุคนั้นมีฐานะที่ค่อนข้างดี เรียกได้ว่าถ้ามีการจัดลำดับฐานะทางบ้านของสมาชิกในวง รยออุคก็คงได้อันดับสอง รองจากซีวอน เขาจึงถูกเลี้ยงมาแบบทะนุถนอม และมีอิมเมจของการเป็นน้องเล็กอยู่เช่นนั้น เพราะตอนที่อยู่บ้าน ก็ได้รับการประคบประหงมเป็นอย่างดี

ในช่วงวัยเด็กของรยออุค ชีวิตเขาอยู่กับดนตรี หัดเปียโนและร้องเพลงมาตั้งแต่ยังเล็ก จึงทำให้ประสบการณ์ด้านดนตรีของเขาค่อนข้างมาก … ศิลปินที่เขาชื่นชอบมากก็คือวง S.E.S โดยเขานั้นเคยสมัครเป็นแฟนคลับอย่างเป็นทางการของสาวๆวงนี้อีกด้วย และสมาชิกในวงที่เขาชื่นชอบที่สุด ก็คือ Bada (แฝดพี่คนละฝากับซีวอนนั่นเอง)

สิ่งที่รยออุคนั้นชื่นชอบเป็นพิเศษ ก็คือ การได้รับประทานไอศกรีม และเครื่องสำอางแจกฟรี ชนิดทดลอง เขาไม่มีปัญหาเรื่องผิว ดังนั้นจึงสามารถใช้ของพวกนี้ได้ไม่มีปัญหา เขามักจะชอบลองของใหม่ๆ และมันเป็นเรื่องสนุกสำหรับเขา

เส้นทางชีวิตของรยออุค ถือว่าค่อนข้างสบาย และไม่หนักหนาเท่ากับคนอื่นๆ เนื่องจากเขามีพื้นฐานที่ดี และยังมีพรสวรรค์ด้านนี้อย่างเต็มเปี่ยม รยออุคเข้ามาในวงเป็นคนที่ 12 ก่อนที่จะมีการเดบิวต์ในนามซูเปอร์จูเนียร์เพียง 3 เดือนเท่านั้น ประกอบกับเพราะเขาตัวเล็กที่สุด หนำซ้ำยังดูเรียบร้อย ด้วยเหตุนี้เขาจึงถูกเรียกว่า “น้องเล็ก” เสมอมา แม้ว่าจะมีคิบอมและคยูฮยอนที่เด็กว่า แต่ด้วยภาพลักษณ์และนิสัยส่วนตัวบางอย่างของเขา มันบ่งบอกได้ว่า ทั้งคิบอมและคยูฮยอนต่างก็เป็นผู้ใหญ่มากกว่าเขาด้วยกันทั้งนั้น
แต่แม้ว่าภาพลักษณ์ภายนอกของรยออุคจะดูหงิมๆ เหมือนไม่ค่อยมีปากเสียงกับใคร แต่อันที่จริงแล้ว เขามีวาทะที่ค่อนข้างคล้ายกับใบมีดดีๆนี่เอง เพราะรยออุคมักจะพูดอะไรออกมา แล้วมันสามารถทำให้สมาชิกในวงถึงจับใบ้รับประทานกันไปเป็นแถบๆ และยังสามารถต้นให้เพื่อนๆจนมุมได้ไม่ยาก หากใครที่ลองไปปะทะคารมกับหนุ่มน้อยผู้นี้ แน่นอนว่าเกือบร้อยทั้งร้อย ที่มักจะโดนสวนกลับ และพ่ายแพ้อย่างราบคาบ เว้นแต่จะใช้กำลังเข้าข่ม ถึงจะสามารถปราบรยออุคได้ … แต่ก็เป็นส่วนน้อยที่จะสำเร็จ
เวลาว่างของรยออุค นอกจากการแต่งเพลง ร้องเพลงแล้ว สิ่งที่เขาทำเป็นกระจำก็คือ การนั่งสังเกตและจับผิดเพื่อนๆในวงเสมอๆ และเืมื่อใดที่มีโอกาส เขาก็มักจะเอามันมาแฉได้ตลอด … และสิ่งนี้เอง ที่ทำให้เขาเป็นตัวอันตรายสำหรับเพื่อนๆ และทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะแกล้งเขาสักเท่าใด แต่นั่นอาจจะเพราะความเป็นเด็กในตัวของเขา ที่ทำให้พี่ๆในวงค่อนข้างเอ็นดูและไม่ถือสา … แม้ว่าเขาจะชอบชอบหาเรื่องแกล้งเพื่อนๆ เพื่อความสนุกสนานก็เถอะ

ในช่วงที่ Super Junior – KRY ได้เดินทางมาที่เมืองไทย และได้เห็นโฆษณา 12 Plus ของซีวอน เพื่อนร่วมวง รยออุคก็ได้นั่งจดจำรายละเอียดของโฆษณานั้นเอาไว้ ด้วยเพราะเขาหัวดีเป็นทุนอยู่แล้ว จึงเก็บรายละเอียดแค่เพียงไม่นาน และเมื่อกลับไปยังเกาหลี แน่นอนว่าทุกท่าทาง ทุกคนพูดของซีวอน ได้ถูกถ่ายทอดให้เพื่อนๆในวง ได้ดูเป็นที่เรียบร้อย โดยผ่านตัวเขาที่ทำท่าล้อเลียนได้ไม่ผิดเพี้ยนจากต้นฉบับ ทำเอาซีวอนนั้นถึงกับหน้าชา เพราะโดนล้อเรื่องที่เขามาทำท่าน่ารักๆ ในเมืองไทย
และหากใครที่เคยคิดว่า จงอุน (เยซอง) นั้นเป็นลูกพี่ของรยออุค ก็คงต้องคิดใหม่ เพราะอันที่จริงแล้ว คนที่ตกเป็นเบี้ยล่างนั้นคือ จงอุน พี่ชายคนสนิทของรยออุคเสียมากกว่า เพราะไม่ว่าจะทำอะไร จงอุนก็มักจะเถียงได้ไม่นานนัก สุดท้ายก็ต้องโดนน้องชายตัวแสบจัดการเสียราบคาบ ไม่เว้นแม้แต่เวลาที่ทำอะไรผิด จงอุนก็มักจะโดนโยนความผิดนั้นมาให้เสมอๆ ทั้งเมื่อตอนที่มาเมืองไทยครั้งแรก จองซูใช้ยองอุนลงไปตามรยออุคที่เล่นน้ำจนดึกดื่น แต่ด้วยความที่ยองอุนนั้นขี้เกียจ และก็รู้ฤทธิ์ของเจ้าน้องชายคนเล็กของวงดี เขาจึงใช้กึ่งบังคับจงอุนต่อ และจงอุนก็หายไปเกือบชั่วโมง … หลังจากนั้นก็กลับมาพร้อมรยออุคด้วยสภาพที่เปียกโชค ทันทีที่จองซูถามว่าทำไมถึงได้หายไปนาน รยออุคก็ตอบทันทีว่า “พี่เยซองเขาชวนผมเล่น” … โดยที่จงอุนนั้นทำได้แค่เพียง หันไปยืนมองตาปริบๆ
แต่แม้ว่าเขาจะหาเรื่องแกล้งจงอุนอยู่บ่อยๆ แต่รยออุคก็รักพี่ชายคนนี้มาก เขามักจะเถียงกับจงอุนในเรื่องที่ไร้สาระค่อนข้างมาก และแม้จะรู้ว่าถึงอย่างไรเสียเขาก็ชนะ แต่มันก็มีความสุขที่ได้หาเรื่องแกล้งพี่ชายที่น่ารักอย่างจงอุน … ทุกๆเรื่องของจงอุน รยออุคจะรู้ดีกว่าคนอื่นๆ เพราะเขาใช้ชีวิตอยู่กับจงอุนมากกว่าใครเพื่อน ยามใดที่ทั้งคู่มีปัญหา หรือมีเรื่องราวไม่สบายใจ ก็มักจะไปเล่าให้อีกฝ่ายฟังเสมอ แต่เนื่องจากจงอุนนั้นพูดมากกว่า รยออุคจึงมักจะเป็นผู้ฟัง

… และสุดท้าย เมื่อได้โอกาส เขาก็แฉจนหมดเปลือก เล่นเอาภาพพจน์ที่เคยดูเงียบๆ เรียบร้อย และพูดน้อยขอจงอุนค่อยๆถูกทำลายไปทีละนิด จนกลายเป็นว่า มันแทบไม่เหลือเลย โดยจะเห็นได้จากบทสัมภาษณ์ หรือคำพูดต่างๆเวลาที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกัน … พวกเขามักจะไม่เคยพูดถึงอีกฝ่ายในทางที่ดีเลย และถ้าหากมีโอกาส ก็จะหาเรื่องทับถมอีกฝ่ายในทันที
แต่ใช่ว่ารยออุคนั้นต้องการจะกลั่นแกล้งจงอุน เขาแค่เพียงต้องการที่จะทำให้แฟนๆได้รู้จักจงอุนมากขึ้น ได้เห็นจงอุนในมุมต่างๆ ที่ไม่ใช่แค่เพียงการอยู่ต่อหน้ากล้อง แม้มันจะเป็นความหวังดีประสงค์ร้าย แต่มันก็ได้ผล เพราะทุกเรื่องราวที่เขาพูดออกมา มันทำให้แฟนๆได้รู้จักจงอุน หรือเยซองมากขึ้น และก็ได้รับความสนใจมากขึ้นเป็นลำดับ

และเพราะว่าเขาเติบโตมากับดนตรี รยออุคจึงมีพรสวรรค์ด้านการแต่งเพลง เขามักจะใช้เวลาว่างอยู่กับการแต่งเพลง แม้ว่าจะถูกจงอุนบอกว่าไม่ได้เรื่องบ้างก็เถอะ เขาก็ยังคงพยายามที่จะทำมันไปเรื่อยๆ เพราะสักวันมันคงจะต้องดีขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน

ทุกครั้งที่เขามีปัญหา คนที่รยออุคมักจะวิ่งไปหาก็คือ ซองมิน .. ที่มักจะขอให้ช่วยเหลือในเรื่องต่างๆอยู่เสมอ เพราะเขาค่อนข้างจะุอุ่นใจเมื่อมีซองมินอยู่ด้วยนั่นเอง

รยออุค ค่อนข้างจะกังวลในเรื่องภาพลักษณ์ของตัวเองอยู่เสมอ เพราะเขายังคงเป็นเด็กน้อยในสายตาพี่ๆ รวมไปถึงแฟนๆ แม้ว่าเขาจะพยายามทำตัวให้เป็นผู้ชายเต็มตัวสักเท่าไหร่ มันก็ดูจะไม่เป็นผล เพราะตัวเขาก็ยังติดที่จะเป็นเด็ก คิดเล็กคิดน้อยในเรื่องที่ไม่สำคัญ น้อยใจได้ในเรื่องเล็กน้อย มีความคิดแบบเด็กๆ อยู่อย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง … เขาอยากจะเป็นผู้ชายที่เท่ห์อย่างซีวอน มีเสน่ห์อย่างดงแฮ และแข็งแรงอย่างยองอุน แต่แม้จะพยายามสักเท่าใด มันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง … และหลายครั้งที่มันทำให้เขารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ
เขาเคยรู้สึกน้อยใจในโชคชะตาของตัวเอง ขนาดที่บ่นออกมา ว่าใน KRY นั้น เขาเป็นคนที่น่าสงสารมากที่สุด “คยูฮยอนเค้าก็หล่อแล้วก็เสียงดีมาก ส่วนพี่เยซองก็มีแฟนสวย …แล้วชั้นล่ะ เป็นตัวอะไร”
แต่ทุกคำพูดของรยออุคที่ออกมาจากความไร้เดียงสานี่เอง มันไม่ได้ทำให้เพื่อนๆหรือพี่ๆเห็นใจเขาเลย แต่มันกลับสร้างเสียงหัวเราะได้ในทุกครั้งที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา

… เขาเหมาะสมที่จะเป็นน้องเล็กของวงจริงๆ

*****************************************************

ชื่อจริง : Kim Ki Bum (คิม คี บอม)
ชื่อในวงการ : Ki Bum (คี บอม )
วันเกิด : 21 ส.ค.1987
ส่วนสูง : 179 ซ.ม. น้ำหนัก : 58 ก.ก.
งานอดิเรก : เล่นเกมคอมพิวเตอร์
ความสามารถพิเศษ : การแสดง
เริ่มเข้าสู่วงการบันเทิง : ปี 2002
โดย Starlight Casting System
ผลงานละคร :
– KBS ‘Kiss of April’ (เม.ย. – ก.ค. 2004)
– KBS ‘Sharp 2’ (ก.พ. 2005)
– MBC ‘Rainbow Romance’ (ต.ค. 2005)
ผลงานโฆษณา :
– เครื่องแบบนักเรียน ‘Elite-Basic’ (ก.ย. 2004)
– ‘KTF’ (พ.ค. 2005) – ‘Hyun Dai – Sonata’ (ส.ค. 2005)
– ‘Crown-Mychu’ (ส.ค. 2005)
– ‘Oddugi’ Ramewn-Bokki (ต.ค. 2005)

คิบอมเป็นเด็กที่เงียบ และไม่ค่อยมีเพื่อน … นี่คืออดีตของเขา เพราะตลอดระยะเวลาที่อยู่อเมริกา คิบอมไม่มีเพื่อนสนิทเลย และยิ่งกว่านั้น ผู้หญิงที่เขาเดทด้วย ก็เป็นฝ่ายบอกเลิกเขาเสียครึ่งหนึ่ง …นั่นเพราะอะไร?

เพราะว่าเมื่อก่อน คิบอมค่อนข้างเป็นเด็กที่เก็บตัว พูดน้อย ชอบอยู่นิ่งๆ ไม่ชอบการเข้าสังคม เขาไม่รู้จะพูดอะไรกับคนที่ไม่สนิทด้วย และที่คล้ายกับฮีชอลก็คือ เขาไม่ได้สนใจเลยด้วยซ้ำ ว่าคนรอบข้างจะเป็นเช่นไร เพราะแค่เพียงมองผ่านมา และก็มองผ่านไปเท่านั้นเอง

คิบอมไปอยู่ที่อเมริกาตั้งแต่อายุ 12 ปี โดยอาศัยอยู่ที่รัฐแคลิฟอร์เนียร์ และได้เข้าศึกษาในโรงเรียน Santa Monica High School แต่เพราะอยากเก่งภาษาอังกฤษ จึงได้ไปทำงานพิเศษ ทั้งๆที่โรงเรียนนั้นอยู่ไกล เขาก็ไม่เคยย่อท้อ จนกระทั่งภาษาอังกฤษของเขานั้นดีขึ้นตามลำดับ แต่ถึงอย่างนั้น ทุกอาทิตย์เขาก็มักจะไปขลุกตัวอยู่ที่โบสถ์มากกว่าที่จะไปเที่ยวเล่นแบบเด็กคนอื่นๆ

ในวันหนึ่ง ระหว่างที่คิบอมและเพื่อนไปชมนิทรรศการเกาหลี และแวะซื้อต็อกโบกกีนั่นเอง ก็มีฝ่ายโมเดลลิ่งของ SM Entertainment ชักชวนให้ลองไปแคสติ้งกับทางบริษัทดู คิบอมรับนามบัตรมาอย่างงงๆ และพยายามคิดทบทวนอยู่นานสองนาน กว่าจะเดินเข้าไปขอพ่อและแม่ เพื่อที่จะทำตามความต้องการของตัวเอง แม่ของคิบอมไม่สนับสนุนให้เขาเข้าวงการบันเทิงสักเท่าใดนัก เพราะนั่นหมายถึง คิบอมจะต้องย้ายมาอยู่เกาหลีเพียงลำพัง ซึ่งในขณะนั้น เขาอายุเพียง 16 ปี จึงเป็นไปได้ยาก ที่คนเป็นแม่จะทำใจปล่อยให้ลูกชายมาตะลอนๆอยู่ที่ต่างประเทศเพียงลำพัง แต่พ่อของเขากลับสนับสนุนให้เขาทำตามที่ตัวเองต้องการ คิบอมจึงได้ให้คำสัญญากับพ่อและแม่ไว้ ว่าเขาจะต้องเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงให้ได้
ด้วยความที่ไม่คุ้นเคยกับเกาหลี เพราะจากไปเป็นเวลาถึง 4 ปีกว่า อีกทั้งยังต้องมาอยู่ตัวคนเดียว คิบอมในตอนนั้นจึงเหมือนคนที่ถูกนำมาปล่อยในเกาะร้าง และด้วยความที่เป็นคนพูดไม่เก่ง จึงเป็นเรื่องยากที่เขาจะเข้าไปหาคนอื่นก่อน
ดงแฮคือเพื่อนคนแรกที่เดินเข้ามากอดเขาในวันแรกที่เจอกัน จากที่เคยเป็นคนนิ่งๆ ไม่ค่อยใส่ใจอะไร มันจึงทำให้คิบอมเริ่มมองอะไรใหม่ๆในชีวิต แน่นอนว่าสิ่งที่ดงแฮทำมันทำให้เค้ารู้สึกประหลาดใจ แต่ก็รู้สึกดีกับมันอยู่มาก อาจจะเพราะดงแฮเองก็อยู่ห่างจากครอบครัวเหมือนกัน จึงทำให้เขาค่อนข้างที่จะเข้าใจความรู้สึกของคิบอม จึงพยายามที่จะทำให้คิบอมปรับตัวได้เร็วขึ้น และเพราะด้วยความบังเอิญอีกส่วนหนึ่ง ที่ทั้งคู่มักจะมาเจอกันที่ห้องซ้อมตอนดึกๆโดยไม่ได้นัดหมาย

อันที่จริงแล้ว คิบอมก็ไม่ใช่ว่าจะไม่สนใจอะไรเลย เพียงแค่ไม่คิดจะพูดอะไรออกมาเท่านั้นเอง และเมื่อได้ย้ายเข้ามาพักร่วมกับฮีชอล ฮันคยอง และเจย์ มันทำให้เขาได้เรียนรู้ที่จะอยู่กับผู้อื่น นอกจากคนในครอบครัว คิบอมรู้สึกประทับใจฮีชอลมากๆ เนื่องจากฮีชอลกล้าทำในสิ่งที่เขาไม่กล้า คิบอมนับถือในความกล้า ความมั่นใจ ที่ฮีชอลมี การอยู่โดยไม่ต้องใส่ใจอะไร อยากทำอะไรก็ทำ และทำด้วยความมั่นใจนั่นเอง มันจึงทำให้เขาอยากจะเข้าไปใกล้พี่ชายคนนี้ให้มากขึ้น แต่ด้วยความที่เขาไม่ชินกับวัฒนธรรมเกาหลี การพบกันครั้งแรกของเขาและฮีชอลจึงเป็นอันสะดุด เนื่องจากฮีชอลเป็นคนที่เคร่งในเรื่องอาวุโสมาก และเมื่อคิบอมเรียกชื่อของเขา โดยปราศจากคำที่แสดงการยกย่องในฐานะรุ่นพี่ มันจึงทำให้ฮีชอลไม่พอใจน้องชายคนนี้สักเท่าใด
หลังจากนั้นคิบอมได้เดินทางกลับไปยังอเมริกาอีกครั้ง และเมื่อกลับมา เขาก็ทำให้ฮีชอลมองเขาในมุมที่เปลี่ยนไป เพราะคิบอมได้ไปศึกษาถึงวัฒนธรรมเกาหลีมาอย่างถ่องแท้ และความน่ารักของเขานี่เอง ที่ทำให้ฮีชอลรักและเอ็นดูเขาตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา และด้วยความที่ต้องเจอกันทั้งที่หอพัก และที่กองถ่าย จึงทำให้พวกเขาทั้งคู่สนิทสนมกันมากขึ้น จนถึงขั้นที่ว่า ถ้าหากในกองถ่ายไม่มีคิบอม ฮีชอลจะไม่สามารถแสดงออกมาให้ดีได้เลยทีเดียว
และนอกจากฮีชอลแล้ว ดงแฮก็ยังเป็นอีกหนึ่งคนที่เข้ามาในชีวิตของคิบอมอย่างช้าๆ จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของเขา คิบอมไม่ชอบเล่าเรื่องส่วนตัวให้ใครฟังสักเท่าใดนัก แต่กับดงแฮแล้ว เขากลับไว้ใจ และรู้สึกอุ่นใจเมื่อได้อยู่ใกล้อย่างบอกไม่ถูก เพราะไม่ว่าจะมีเรื่องอะไร เขาก็มักจะระบายให้เพื่อนสนิทคนนี้ฟังเสมอๆ

คิบอมเดบิวต์ครั้งแรกด้วยงานละครในปี 2004 คือเรื่อง April’s Kiss ออกฉายทางช่อง KBS แต่ละครเรื่องนี้นั้นยังไม่แจ้งเกิดให้คิบอมอย่างเต็มตัวนัก เขาเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น จากบทของ Joo Yuh Myung นักเรียนใหม่ที่เพิ่งย้ายมาจากอเมริกา ประกบคู่กับ โกอารา ในเรื่อง Sharp Love 2 ปี 2005 และจากนั้นก็ได้รับบทนำในซิทคอม เรื่อง Nonstop 6 ต่อในทันที ซึ่งละครเรื่องนี้ได้เริ่มฉายในวันที่ 12 ตุลาคม 2005 จึงทำให้ชื่อเสียงของคิบอมนั้นโด่งดังมากขึ้น

หลังจากนั้นเพียงแค่เดือนเดียว คิบอมก็ได้เดบิวต์ในฐานะศิลปินวงซูเปอร์จูเนียร์ และแน่นอนว่า มันทำให้ชื่อของ คิบอม เป็นที่รู้จักเป็นอย่างมาก ทั้งในฐานะนักร้องและนักแสดง

แต่ด้วยนิสัยส่วนตัวของคิบอม ที่เป็นคนนิ่งๆ ไม่ค่อยยิ้ม และพูดน้อย หนำซ้ำยังไม่ค่อยสนใจสิ่งรอบข้าง จึงทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ขึ้น เนื่องจากการเป็นศิลปินนั้น พวกเขาทุกคนจะต้องพบปะกับแฟนเพลงอยู่เสมอๆ และภาพลักษณ์ของคิบอมในตอนนั้นมันดูเย่อหยิ่ง ผิดจากเมื่อตอนที่เขายิ้มหรือหัวเราะในละคร คิบอมถูกตักเตือนอยู่หลายครั้ง ในเรื่องการทำตัวเป็นมิตรกับแฟนคลับ เขาต้องพยายามยิ้มแย้มอยู่เสมอๆ ทั้งๆที่ไม่ใช่นิสัยของตัวเองที่จะยิ้มกับใครที่ไม่รู้จักได้ง่ายๆ ด้วยความพยายามของคิบอมนี้เอง ที่ทำให้เกิดเรื่องราวขึ้นมาอีก เพราะเขามักจะยิ้มแย้มแค่เพียงต่อหน้าแฟนคลับ เมื่อถึงเวลาปกติ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มก็เหือดหายไปเป็นหน้านิ่งๆ แถมยังไม่ค่อยสุงสิงกับคนรอบข้างอีก …จึงมีประเด็นเกิดขึ้นมาว่า “คิบอมเฟค”
ในตอนนั้น ด้วยความที่เป็นเด็กหนุ่มหัวนอก เขาจึงไม่ค่อยสนใจเรื่องความสัมพันธ์ที่มีต่อคนรอบข้างมากนัก เพราะถ้าหากยังมีงาน เขาก็จะยังทำงานอยู่ที่เกาหลีต่อ แต่ถ้าหากไม่มีใครจ้างเขาแล้ว เขาก็พร้อมจะกลับอเมริกาเพื่อไปหาครอบครัวได้ทุกเมื่อ

เหมือนกับที่ผ่านมา เขาไม่ได้ทำด้วยความเข้าใจเสียทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ คิบอมที่เคยนิ่งเงียบ ไม่ค่อยสุงสิงกับคนอื่น มองคนอื่นเป็นผู้ร่วมงาน จึงเริ่มปรับตัวเพื่ออยู่ในสังคมเกาหลีอีกครั้งหนึ่ง เพราะที่ผ่านมา ด้วยเพราะมาจากต่างประเทศ และไม่ได้พักรวมกับเพื่อนๆในวงคนอื่นๆ จะเจอกันก็ต่อเมื่อมีงาน คิบอมจึงสนิทกับเพื่อนในวงเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ซึ่งก็คือ ฮีชอล ฮันกยอง ดงแฮ และซีวอน แต่เมื่อเขาเริ่มที่จะเปิดใจ ปรับตัวรับสังคมใหม่ๆ และเริ่มใช้เวลาที่ว่างไปคลุกคลีกับเพื่อนๆในวงที่หอใหญ่ จากที่เคยยิ้มเพราะต้องยิ้ม หรือเพราะควรจะยิ้ม รอยยิ้มของเขาได้เริ่มออกมาจากเบื้องลึกของจิตใจแล้ว

สำหรับแฟนคลับ คิบอมนั้นจะเป็นห่วงทุกๆคนเสมอ เขาพยายามที่จะเอาใจใส่แฟนคลับของเขาทุกคน ด้วยเหตุนี้เอง ที่เขามักจะไม่ยอมรับของจากแฟนคลับ ไม่ว่าจะเป็นใครคนไหน เว้นแค่เพียงแฟนคลับจากต่างประเทศ เพราะเขาคิดว่า ถ้าหากปฏิเสธไป และเกิดการสื่อสารที่ไม่เข้าใจ มันอาจจะเกิดปัญหาขึ้นในภายหลัง แต่สำหรับแฟนคลับในเกาหลีแล้ว ต่างเป็นที่รู้กัน ว่า “คิบอมจะไม่รับของขวัญบนพื้นแผ่นดินเกาหลี” เพราะเขารู้ว่าแฟนคลับของเขานั้นอายุยังน้อย และยังไม่มีรายได้เป็นของตัวเอง จึงไม่อยากให้ใครต้องมาสิ้นเปลืองเพื่อซื้อของมาให้แก่เขา เพราะบางคน ยังต้องขอเงินพ่อแม่อยู่ และมันคงจะไม่สมควร ถ้าหากจะขอเงินนั้นเพื่อมาซื้ออะไรให้แก่เขา

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่มีเด็กผู้หญิงยื่นส้มมาให้คิบอม แต่ว่าเขาก็ไม่ยอมรับมัน แม้ว่าเธอจะขอร้องสักเท่่าใดก็ตาม แต่สุดท้าย เมื่อเด็กผู้หญิงคนนั้นบอกว่า มันเป็นส้มที่เธอเอามาจากบ้านเพื่อนำมาฝากเขา ไม่ได้ไปซื้อที่ไหนมา คิบอมจึงได้ยอมรับส้มนั้นมาจากเธอ

และในการปรับตัวของคิบอม ฮีชอล และซีวอน ก็เป็นอีกแรงที่ต่างก็คอยช่วยเหลืออยู่เสมอ เนื่องด้วยที่คิบอมเป็นคนพูดน้อย เมื่ออยู่ในกลุ่มจึงได้แต่นั่งยิ้มเสียส่วนมาก นานๆทีจึงจะออกความคิดเห็นหรือพูดอะไร ด้วยเหตุนี้ ทั้งฮีชอลและซีวอน จึงพยายามที่จะทำให้คิบอมได้มีโอกาสพูดมากขึ้น ทั้งโดยการโยนเรื่องต่างๆไปให้ หรือแม้แต่ตั้งคำถามเพื่อที่จะให้เขาตอบ เกิดเป็นมิตรภาพที่งดงามขึ้นระหว่างพวกเขาเอง
นอกจากจะมีฮีชอลและฮันคยองคอยดูแลที่อพาร์ตเม้นแล้ว และก็มีดงแฮคอยเป็นเพื่อนเล่น พูดคุย และรับฟังปัญหา คิบอมก็ยังมีซีวอนที่คอยให้ความช่วยเหลือในเรื่องต่างๆเป็นอย่างดี จึงทำให้ชีวิตที่เคยมีแต่สีเรียบๆของคิบอมเริ่มมีสีสันที่สดใสขึ้นมา … แต่ในระหว่างที่ทุกๆ อย่างกำลังไปได้สวย ก็มีเหตุอันน่าเศร้าเกิดขึ้น เมื่อคุณพ่อของดงแฮเสียชีวิต และฮีชอลประสบอุบัติเหตุ ด้วยเพราะฮีชอลและฮันคยอง เปรียบเสมือนเป็นสมาชิกในครอบครัวในเกาหลีเพียงไม่กี่คนที่เขามี สิ่งที่เขาทำได้ก็คือ การไปนั่งไปเยี่ยมฮีชอลทุกวัน และจัดทำตารางการเยี่ยมให้สมาชิกทุกคนในวง เพื่อที่ฮีชอลจะได้ไม่เหงา ซึ่งในตารางนี้เอง เขาจัดให้ฮันคยองมีกำหนดเยี่ยมมากที่สุดในวง
และก่อนที่จะออกอัลบัมชุดที่ 2 เพียงไม่นาน คิบอมได้มีละครติดต่อมาจำนวนหลายเรื่อง ซึ่งก็มีหลายเรื่องที่บทน่าสนใจ แต่ทว่า เขาต้องเดินทางไปถ่ายทำยังต่างประเทศ (ไม่แน่ใจว่าฝรั่งเศสหรือเปล่า) ในช่วงเวลานั้น ประจวบเหมาะกับสัญญากับทางต้นสังกัดของคิบอมกำลังจะหมด จึงเป็นช่วงเวลาแห่งการลังเลใจของเขา ว่าจะเดินเส้นทางไหนต่อไปดี เพราะถ้าให้พูดกันจริงๆแล้ว ก็คงจะเห็นได้ชัด ว่าคิบอมถนัดที่จะแสดงละครมากกว่าที่จะอยู่บนเวทีคอนเสิร์ต และที่สำคัญ บทที่เขาได้รับนั้น อาจจะทำให้เขากลายเป็นนักแสดงแถวหน้าของเกาหลี อย่างที่เขาเคยวาดหวังไว้เลยก็เป็นได้

… แต่แล้วสิ่งที่เขาเลือกก็คือ ปฏิเสธบทที่หาได้ยากนั้นไป ด้วยเหตุผลเพียงแค่ว่า เขาต้องการที่จะร่วมงานกับเพื่อนในนามซูเปอร์จูเนียร์ในอัลบัมชุดที่ 2 มากกว่า เพราะเขาคือ หนึ่งในซูเปอร์จูเนียร์ แน่นอนว่าเป็นการตัดสินใจที่น่าประทับใจ แต่ก็น่าประหลาดใจไปพร้อมๆกัน เพราะถ้าหากเป็นการตัดสินใจเมื่อหนึ่งปี หรือสองปีก่อน มันก็มีความเป็นไปได้สูง ที่เขาอาจจะเลือกที่จะเดินอีกทาง
สำหรับซูเปอร์จูเนียร์แล้ว ในวันนี้ … มันเปรียบเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของผู้ชายที่ชื่อ คิมคิบอม เด็กหนุ่มที่เคยไม่ใส่ใจต่อสิ่งรอบข้าง ไม่สนใจอะไรนอกจากชีวิตของเขา เพราะเขาคิดเสมอว่าบ้านของเขาอยู่ที่อเมริกา เขามาที่เกาหลีเพื่อที่จะทำตามความฝันเท่านั้น แต่ในตอนนี้ … ที่เกาหลี มีเพื่อนๆ มีครอบครัวอีกครอบครัวหนึ่งของเขาอยู่ และมันก็คือสิ่งมีค่าที่เขาหวงแหนมากที่สุดชิ้นหนึ่ง

*****************************************************

ชื่อจริง : โจคยูฮยอน (Jo Kyuhyun / Jo Gyuhyeon)
ชื่อในวงการ : คยูฮยอน (Kyuhyun / Gyuhyeon)
วันเกิด : 3 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1988
ส่วนสูง : 180 ซม.
น้ำหนัก : 68 ก.ก.
เริ่มเข้าสู่วงการ : ปี 2005 โดยชนะเลิศการประกวดร้องเพลง : CMB Chin Chin Song Festival
ผลงานอื่นๆ มิวสิกวีดีโอ : Winter Chin Chin Song Festival

คยูฮยอน เป็นเด็กหนุ่มที่ใช้ชีวิตธรรมดา ตามแบบอย่างที่นักเรียนมัธยมทั่วไปควรจะเป็น เขาไม่เคยรู้ตัว และไม่เคยสนใจในการร้องเพลงมาก่อน ซึ่งต่างจากสมาชิกคนอื่นๆ แต่เพราะครูมองเห็นความสามารถในตัวเขา จึงให้ลองร้องเพลง เมื่อตอนอยู่ ไฮสคูล ปี 1 และตั้งแต่นั้น ความฝันที่จะเป็นนักร้องของเขาก็เริ่มก่อตัวขึ้นทีละนิด จนกระทั่งได้มีโอกาสไปเข้าคอร์สฝึกการใช้เสียงกับค่ายเพลงแห่งหนึ่ง และก็ฝึกเรื่อยมาจนกระทั่งเข้าสู่ชั้น ปีที่ 3

คยูฮยอนได้เข้าประกวดพร้อมกับเพื่อนอีกคน โดยใช้เพลง จยูรยอค ของ ฟลายทูเดอะสกาย ในการประกวด และก็ได้รางวัลเหรียญทองแดงกลับมา

ทางบ้านของคยูฮยอนนั้นค่อนข้างจะเข้มงวดเรื่องการเรียน และเขาก็มีฐานะทางบ้านค่อนข้างดี เรียกได้ว่าเป็นลูกคุณหนูอีกคนของวงเลยก็ว่าได้ และสิ่งที่ทางบ้านของเขาคาดหวังกับเขามากที่สุดก็คือ ด้านการเรียน แม้ที่บ้านจะไม่ได้ต่อต้านกับความฝันที่เขาทำอยู่ แต่ก็ห่วงเรื่องการสอบเข้ามหาวิทยาลัยอยู่มาก ดังนั้น เขาจึงต้องแบกภาระสองอย่างไว้พร้อมๆกัน คือ การเดินตามฝันเพื่อเป็นนักร้อง และการสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยให้ได้

ในวันที่ประกาศผล คยูฮยอนแทบจะหัวใจสลาย เมื่อทุกมหาวิทยาลัยที่เขายืนสมัครไปนั้นไม่มีชื่อของเขาอยู่ ณ เวลานั้นเขากังวลเป็นอย่างมาก เพราะเขาต้องการที่จะสอบให้ได้ เพื่อที่จะได้เป็นนักร้องตามที่ใฝ่ฝัน แต่ในช่วงเวลาอันเลวร้ายนั้นเอง ก็เหมือนกับว่า พระเจ้าได้เห็นถึงความตั้งใจจริง มหาวิทยาลัยสุดท้ายที่เขายื่นสมัครไป มีชื่อของเขาอยู่ นั่นก็คือ มหาวิทยาลัยคยองฮี ที่โด่งดัง!!

เมื่อเซ็นสัญญากับทางต้นสังกัดเพื่อเป็นศิลปินฝึกหัด คยูฮยอนก็ถูกสั่งให้ลดน้ำหนักเป็นการด่วน เนื่องจากตอนนั้นเขามีน้ำหนักที่มากจนเกินไป เมื่อได้รู้ว่าตัวเองจะต้องเข้าร่วมทีมกับวงซูเปอร์จูเนียร์ ความกังวลก็เข้ามาจู่โจมเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้

ซูเปอร์จูเนียร์ที่เดบิวต์ไปแล้วและกำลังไปได้สวย … วงที่มีสมาชิกอยู่แล้วถึง 12 คน หนำซ้ำแต่ละคนก็ยังมีความสามารถที่โดดเด่น … แล้วเขาล่ะ? เด็กที่เพิ่งเข้ามาเป็นศิลปินฝึกหัดได้ไม่นาน เด็กที่เพิ่งเข้ามาใหม่และไม่ได้รู้จักใครในวงมาก่อน เขาจะทำอย่างไรดี?

ในวันแรก ที่ได้เข้าไปร่วมฝึกซ้อมกับซูเปอร์จูเนียร์ คยูฮยอนรู้สึกกลัวและประหม่าเป็นอย่างมาก เขาทักทายรุ่นพี่ด้วยความเกร็ง และแน่นอน มันทำให้สมาชิกของซูเปอร์จูเนียร์หลายคนไม่ค่อยพอใจกับการกระทำของเขา เพราะมันดูไม่ค่อยจริงใจสักเท่าใดนัก เนื่องจากที่เกาหลีค่อนข้างจะเคร่งเรื่องการเข้าหาผู้ใหญ่นั่นเอง ซึ่งในตอนนั้น ถ้าหากจะบอกว่าไม่จริงใจ มันก็อาจจะไม่ถูกเสียทั้งหมด แต่จะปฎิเสธก็คงไม่ได้ เพราะตอนที่เขาเข้าไปโค้งให้กับพี่ๆ เขาทั้งตื่นเต้น ทั้งกลัว หลากความรู้สึกที่ปนเปกันอยู่ในร่างกาย จึงไม่แปลกที่สิ่งที่เขาแสดงออกมา จะทำให้คนอื่นๆมองเห็นเป็นเช่นนั้น

ในการซ้อมแต่ละวัน หลังจากที่คนอื่นๆซ้อมกันเสร็จแล้ว คยูฮยอนก็ยังจะต้องฝึกซ้อมต่อ เพราะว่าเขามาทีหลัง และต้องการพิสูจน์ตัวเอง ว่าเขาไม่ได้เข้ามาเพื่อเป็นตัวถ่วงของวง ความพยายามของเขาในช่วงนั้นจึงมากกว่าคนอื่นๆถึงสองเท่า แต่กว่าจะได้เดบิวต์พร้อมกับการออกซิงเกิลชุดแรกของซูเปอร์จูเนียร์นั้น คยูฮยอนต้องผ่านการทดสอบมากมายหลายครั้ง จนมันดีพอที่จะเปิดตัวในนามสมาชิกใหม่ของวง

เมื่อเขาปรากฎตัวในนามสมาชิกใหม่ของซูเปอร์จูเนียร์ มีกระแสมากมายเกี่ยวกับตัวเขาออกมา คยูฮยอนถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากมายในอินเตอร์เน็ต มันทำให้เขาเจ็บ และรู้สึกแย่มาก แต่นั่นมันก็กลายมาเป็นแรงผลักดัน เพื่อให้เขาพยายามอย่างสุดความสามารถ เพื่อลบคำสบประมาทเหล่านั้นให้ได้
และในที่สุด ความพยายามของเขาก็เห็นผล เมื่อเขาสามารถพิสูจน์ให้ ELF ได้เห็นว่า เขามีความสามารถมากพอที่จะเข้ามาเป็นสมาชิกของซูเปอร์จูเนียร์ และในวันที่ ELF อ้าแขนรับเขามาไว้ในอ้อมกอด พร้อมกับเสียงร้องเชียร์ในชื่อเขา วันนั้นเอง ที่คยูฮยอนรู้สึกราวกับว่ามันคือความฝัน … มันคือจุดหมายที่เขาต้องการ และในวันนี้เขาก็วิ่งมาถึงมันแล้ว
คยูฮยอนได้กลายเป็นสมาชิกคนสุดท้ายของซูเปอร์จูเนียร์ และเป็นเมมเบอร์ที่อายุน้อยที่สุด ในช่วงแรกของการเข้ามาอยู่ในวง เขาไม่มีเตียงนอน แต่ด้วยความที่เป็นน้องเล็ก เขาจึงไม่คิดจะเรียกร้องอะไร จนกระทั่งเผลอพูดถึงเรื่องนี้ในรายการวิทยุ และมีแฟนคลับส่งข้อความกลับมาว่าต้องการจะซื้อเตียงนอนให้กับเขา ทำให้ผู้จัดการอับอาย และได้ไปซื้อเตียงนอนให้เขาในวันรุ่งขึ้น และมันก็ทำให้คยูฮยอนรู้สึกปลาบปลื้มกับเตียงนอนของเขาอย่างมาก จนขนาดถ่ายรุปของเขาลงอินเตอร์เนตด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข
แต่แล้วเส้นทางของการเป็นศิลปินก็มาสะดุด เมื่อเขาประสบอุบัติเหตุครั้งใหญ่ในชีวิต ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ซูเปอร์จูเนียร์ต้องระส่ำระสาย สมาชิกต่างตกอยู่ในภาวะช็อค และทำอะไรไม่ถูก เพราะลีดเดอร์ พี่ใหญ่ของวง กับน้องเล็กคนสุดท้อง ต่างอาการแย่ทั้งคู่ แต่คยูฮยอนนั้นหนักกว่าอิทึกมาก เพราะเขาทั้งซี่โครงและกระดูกสะโพกหัก ข้อเท้าร้าว ปอดมีเลือดไหล และมีบาดแผลที่ใบหน้า คยูฮยอนไม่ได้สติอยู่ประมาณ 3-4 วัน ทั้งนี้เนื่องจากขณะที่นั่งรถนั้น เขาได้นอนหลับบนรถ จึงทำให้ไม่สามารถป้องกันตัวเองจากภัยรอบตัวได้เลย

คยูฮยอนต้องนอนพักรักษาตัวอยู่นาน กว่าที่อาการของเขาจะหายดี จากที่เคยติดเกมส์ ก็เริ่มเปลี่ยนมาติดละครแทน เนื่องจากช่วงพักฟื้นเขาไม่มีอะไรทำ นอกจากการนั่งดูละคร ช่วงนั้นเป็นช่วงเวลาที่ค่อนข้างเหงาสำหรับเขา เพราะการได้เห็นเพื่อนร่วมวงในทีวีโดยปราศจากเงาของตัวเองนั้นมันช่างเป็นอะไรที่ปวดร้าวเหลือเกิน หนำซ้ำภาพยนตร์ที่เพื่อนๆทั้งวงแสดงร่วมกัน ยังต้องขาดเขาเพียงคนเดียวอีกด้วย จึงทำให้บทที่ถูกวางไว้ให้กับเขาได้เปลี่ยนตัวแสดงไปเป็นฮันคยอง แต่การถูกเปลี่ยนบทนั้น มันไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้เขารู้สึกแย่เท่ากับการไม่ได้ร่วมงานแห่งความทรงจำกับเพื่อนร่วมวง
และเมื่อร่างกายของเขาเริ่มแข็งแรงขึ้น ทางต้นสังกัดก็ได้เริ่มการทำงานในอัลบัมชุดที่สองทันที เนื่องจากที่ผ่านมานั้น กำหนดการออกอัลบัมชุดที่สองได้ถูกเลื่อนออกมาเนื่องจากอาการป่วยของเขา ซึ่งในการขึ้นโชว์แต่ละครั้ง เขาจะออกมาร้องเพลงได้แค่เพียงท่อนสั้นๆ เนื่องจากปอดและร่างกายยังทำงานได้ไม่เต็มที่ จึงไม่สามารถที่จะร่วมแสดงทั้งเพลงได้
ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้เขาได้สนิทกับเฮนรี่ ศิลปินฝึกหัดของ SM ที่มาร่วมเล่นไวโอลินให้กับเพลง Don’t Don เนื่องจากทั้งคู่ใช้เวลาอย่ข้างล่างเวทีร่วมกันนานกว่าคนอื่นๆ และด้วยวัยที่ไล่เลี่ยกัน อีกทั้งยังเคยผ่านจุดเดียวกันมาแล้ว (ที่เคยโดน ELF ต่อต้าน) ทำให้คยูฮยอนเข้าใจความรู้สึกของเฮนรี่ค่อนข้างดี เขาจึงพยายามที่จะเป็นเพื่อนคุยให้กับเฮนรี่ ในช่วงที่รอขึ้นเวที … แต่อาจเพราะความซนส่วนตัว ความหวังดีของคยูฮยอน จึงได้ออกมาในแบบที่ออกจะสร้างความวุ่นวาย เพราะระหว่างที่เขายืมไวโอลินของเฮนรี่ไปเล่นนั่นเอง (แถมยังทำท่าเลียนแบบเฮนรี่ด้วย) ที่ทำให้มันถึงกับเจ๊งไปชั่วคราว (ซนไม่เข้าเรื่อง)

และเมื่อเริ่มหมดช่วงโปรโมตในเพลง Don’t Don ซูเปอร์จูเนียร์ก็มีคิวออกรายการวาไรตี้โชว์ต่างๆ และคราวนี้ คยูฮยอนถึงกับทนไม่ไหว ขอร้องทางต้นสังกัดเพื่อให้เขาสามารถออกรายการร่วมกับเพื่อนๆได้ แม้ว่าจะไม่ได้ทำกิจกรรมแบบคนอื่นๆ ก็ขอให้ได้ไปนั่งเห็นเพื่อนๆเล่นกันก็ยังดี
หลายๆคนอาจจะคิดว่าคยูฮยอนนั้นเป็นเด็กค่อนข้างนิ่ง แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขาเป็นเด็กหนุ่มธรรมดา ที่สดใสและร่าเริง แต่เพราะความเป็นน้องเล็ก จึงไม่ค่อยที่จะกล้าเล่นอะไรออกหน้าออกตามากนัก และค่อนข้างเป็นเด็กว่าง่ายในสายตาของพี่ๆ แต่ถ้าเมื่อใดที่มีโอกาส เขาก็มักจะหาทางแกล้งคนอื่นๆอยู่เสมอ แต่ไม่ว่าเขาจะทำอะไร พี่ๆก็ยังให้ความรักและความเอ็นดูในฐานะน้องเล็กไม่เปลี่ยนแปลง
คยูฮยอน คือ ส่วนที่เข้ามาเติมเต็มให้กับซูเปอร์จูเนียร์ คือ พรวิเศษ เช่นเดียวกับชื่อของเขา และพวกเขาก็หวังเป็นอย่างยิ่ง ว่าพรข้อนี้ จะสามารถอวยพรให้ซูเปอร์จูเนียร์ผ่านพ้นเรื่องเลวร้ายไปได้ด้วยดี

*****************************************************

เสร็จแล้วคร๊าบ อ๊อยๆๆๆ ต้องครอบคุณพี่ เชอรี่ มากนะครับสำหรับ รีวิวนี้นะครับ ขอบคุณก๊าบๆๆๆ

Read Full Post »